ข่าวเด่น » “สาวไทย”แห่ร้องถูกแก๊งจีนเทา หลอกบังคับขาย “ไข่” สืบพันธุ์ ผสมเทียมทำเด็กขาย

“สาวไทย”แห่ร้องถูกแก๊งจีนเทา หลอกบังคับขาย “ไข่” สืบพันธุ์ ผสมเทียมทำเด็กขาย

3 กุมภาพันธ์ 2025
20   0

“ปวีณา” ประสาน ตร. ช่วย “สาวไทย” ถูกแก๊งจีนเทาหลอกไปอุ้มบุญที่จอร์เจีย แต่ไปถึงถูกบังคับให้ขาย “ไข่” สืบพันธุ์ ผสมเทียมทำเด็กขาย สั่งรีดไข่ทุกเดือนเหมือนไม่ใช่คน มีเหยื่อรอความช่วยเหลือนับร้อยชีวิต

เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 68 นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ประสานขอความช่วยเหลือ พล.ต.ต.สุระพันธุ์ ไทยประเสริฐ ผบก.กองการต่างประเทศ และทีมงานตำรวจสากลไทย ได้ประสานตำรวจสากลระหว่างประเทศ นำกำลังตำรวจสากลประมาณ 30 นาย ช่วยเหลือเหยื่อหญิงไทย 3 คน ที่ร้องขอความช่วยเหลือมายังมูลนิธิปวีณาฯ ให้ช่วยพาออกจากบ้านของจีนเทาในประเทศจอร์เจีย ซึ่งทำธุรกิจค้ามนุษย์ขายไข่สืบพันธุ์ส่งไปประเทศที่ 3 เพื่อทำเป็นเด็กหลอดแก้ว และขายอวัยวะต่างๆ อย่างน่ากลัว

โดยตำรวจสากลระหว่างประเทศนำทั้ง 3 คนส่งบ้านพักชั่วคราว และมูลนิธิปวีณาฯ จัดส่งตัวเครื่องบินให้กลับประเทศไทยโดยสวัสดิภาพในวันที่ 30 ม.ค. 67 ซึ่งมูลนิธิปวีณาฯ ได้ไปรับวันที่เดินทางกลับถึงไทย โดยประสาน ตม. และ ผกก.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะนี้หญิงไทยทั้งหมดอยู่ในความดูแลของมูลนิธิปวีณาฯ ที่เซฟเฮ้าส์ เพราะถูกข่มขู่จนหวาดกลัว และยังมีหญิงไทยที่รอความช่วยเหลืออีกกว่า 100 คน จึงจำเป็นต้องประชาสัมพันธ์เพื่อเตือนภัยหญิงไทย ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะมีหน่วยงานไหนจะมายื่นมือขอความช่วยเหลือ

นางปวีณา หงสกุล เผยว่า หลังรับเรื่องได้ประสาน พล.ต.ต.สุระพันธุ์ ไทยประเสริฐ ผบก.กองการต่างประเทศ ก่อนจะพา น.ส.นา (นามสมมติ) 1 ใน 4 ผู้เสียหาย ที่เดินทางกลับมาก่อน และมาร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ ไปให้ข้อมูล โดยท่านผู้การมีการประสานตำรวจสากลระหว่างประเทศและนำกำลังเข้าช่วยเหลือสาวไทยกลับมาได้ 3 ราย ในวันที่ 30 ม.ค. 68 ขณะที่สาวไทยอีกจำนวนมากที่ต้องทนทุกข์ก็อยากจะเดินทางกลับด้วยเช่นกัน

สำหรับกรณีนี้ถือว่าเป็นขบวนการค้ามนุษย์ที่ทำโดยกลุ่มจีนเทา และมีคนไทยร่วมขบวนการ จึงอยากขอวอนให้รัฐบาลไทยประสานรัฐบาลจีนตรวจสอบทลายเส้นทางค้ามนุษย์ โดยมีจีนเทาแฝงบัญชาการอยู่ในประเทศไทย ให้รัฐบาลจีนเข้ามาทำการตรวจสอบขบวนการค้ามนุษย์ของจีนเทาและปราบปรามให้สิ้นซาก เพราะถือเป็นภัยมหันต์ มีการรีดรังไข่ในตัวผู้หญิงเพื่อหวังนำไข่ไปขายต่อเพื่อทำเด็กหลอดแก้ว โดยทำเป็นธุรกิจค้ามนุษย์ส่งขายประเทศที่ 3 ซึ่งทารกที่คลอดออกมาอาจจะถูกเก็บสเต็มเซลล์เพื่อนำไปรักษาโรค หรือเพื่อประโยชน์ของคนบางคน และทารกที่เกิดมาอาจจะต้องเสียชีวิตในที่สุด

“ทั้งนี้ขอเตือนภัยสาวไทยที่คิดจะหางานทำหรือไปทำงานในต่างประเทศควรจะตรวจสอบให้ดีอย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ อย่าไป เพราะไปแล้วอาจไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน เพราะงานสบายรายได้ดีไม่มีอยู่จริง หลายคนต้องไปตกทุกข์ได้ยากในต่างประเทศ ถูกกักขัง ทรมาน ทำร้ายร่างกาย บังคับเสพยา ค้าประเวณี บางคนถึงกับเอาชีวิตไม่รอด จากสถิติมูลนิธิปวีณาฯ ปี 2567 ปัญหาล่อลวง/ค้าประเวณี/ค้ามนุษย์ สูงถึง 257 ราย แยกเป็น แจ้งเบาะแสค้าประเวณีในประเทศ จำนวน 53 ราย และขอความช่วยเหลือค้าประเวณี/ค้ามนุษย์ ต่างประเทศ 204 ราย กรณีถูกหลอกค้ามนุษย์ต่างประเทศ มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือกลับมาแล้ว 152 ราย ซึ่งการช่วยเหลืออาจจะช่วยไม่ได้ทุกคน เพราะฉะนั้นควรจะตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างให้ดีก่อนตัดสินใจเดินทางเพราะอาจตกเป็นเหยื่อได้.”

ด้าน น.ส.นา (นามสมมติ) เผยว่า ก่อนหน้านี้ตนเป็นเซลล์ขายของแต่รายได้ไม่พอรายจ่าย เพราะว่ามีลูก 1 คน จึงอยากหาอาชีพเสริมช่วยสามีใช้หนี้ ช่วงเดือน ก.ค. 67 ตนได้หางานในโซเชียลโดยค้นหาคำว่า “หางานทำในบ้าน หางานต่างประเทศ” จนได้พบเพจเฟซบุ๊กหนึ่งที่อ้างว่า “มีงานสำหรับผู้หญิง รายได้ 4-6 แสนบาท” ตนจึงติดต่อไป แอดมินบอกว่าเป็นงานอุ้มบุญที่ถูกกฎหมายในประเทศจอร์เจีย ซึ่งพ่อแม่ชาวต่างชาติที่มีลูกยากจะมาเซ็นสัญญาให้อุ้มบุญ จะดูแลอย่างดีมีที่กินอยู่อย่างสบาย รายได้ 4-6 แสนบาท พร้อมกับจะออกค่าใช้จ่ายในการทำพาสปอร์ตและค่าเดินทางให้ทั้งหมด ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินเรื่องประมาณ 1 เดือน

“สาวไทย” ถูกแก๊งจีนเทา หลอกบังคับขาย “ไข่” สืบพันธุ์ ผสมเทียมทำเด็กขายจากนั้นทางแอดมินก็ให้ตนไปทำพาสปอร์ตและนัดเดินทางในวันที่ 30 ส.ค. 67 โดยไปขึ้นเครื่องที่สนามบินอู่ตะเภา เมื่อถึงวันนัดหมายพบว่ามีสาวไทยที่ร่วมเดินทางไปด้วยอีก 10 คน และมีผู้นำพาเป็นสาวไทย 1 คน รวมทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนไม่รู้จักกัน จากนั้นผู้นำพาได้ให้เงินติดตัวคนละ 500 ดอลลาร์ ตีเป็นเงินไทยประมาณ 15,000 บาท บอกว่าเอาไว้โชว์เวลาที่เจ้าหน้าที่ ตม.ตรวจ เครื่องบินไปลงที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก่อนจะเปลี่ยนเครื่องไปลงที่ประเทศอาร์เมเนีย ผู้นำพาได้ให้ทุกคนนอนค้างที่โรงแรม 3 คืนและพาไปที่ต่างๆ เพื่อถ่ายรูป วันที่ 4 ได้เดินทางโดยรถไฟเข้าประเทศจอร์เจีย ใช้เวลาประมาณ 10 กว่าชั่วโมง

เมื่อไปถึงจอร์เจียผู้นำพาได้ให้สาวไทยทั้งหมดเข้าพักในโรงแรม 1 คืน และยึดพาสปอร์ตทุกคน ก่อนจะพาไปที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งมีเนื้อที่ขนาดใหญ่และในบริเวณมีบ้านอยู่ 4 หลัง วันต่อมาตนถูกนำตัวไปที่บ้านหลังที่ 1 ซึ่งเป็นหลังที่ใหญ่ที่สุด พบสาวไทยอยู่รวมกันกว่า 60 คน บางคนสภาพร่างกายทรุดโทรมนั่งร้องไห้บอกว่าอยากกลับบ้าน วันต่อมาตนถูกย้ายมาอยู่บ้านหลังที่ 2 ที่มีสาวไทยอยู่ 10 กว่าคน ตนสังเกตเห็นว่าที่บ้านทั้ง 4 หลัง มีแต่สาวไทยรวมแล้วประมาณ 100 คนได้ และบริเวณดังกล่าวจะมีคนจีนเข้าออกตลอดเวลา ตนได้สอบถามกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่อยู่ในนั้นจนทราบว่า หญิงสาวเหล่านั้นถูกหลอกมาให้อุ้มบุญ แต่ก็ไม่มีพ่อแม่ต่างชาติคนไหนมาให้เซ็นสัญญาจ้าง ทุกคนจึงถูกบังคับให้ขายไข่ คนที่ยอมก็จะถูกรีดไข่ทุกเดือนเหมือนไม่ใช่คน สภาพร่างกายย่ำแย่ คนที่ไม่ยอม อยากกลับบ้าน ก็ถูกเรียกค่าไถ่ตัว อ้างว่าเป็นค่าเดินทางและค่ากินอยู่ 50,000-70,000 บาท

เหยื่อหญิงสาวหลายคนบอกว่า ต้องทนอยู่เพราะไม่มีเงินไถ่ตัวและถูกข่มขู่ว่า หากกลับประเทศไทยก็จะถูกจับกุมดำเนินคดี ทุกคนจึงกลัวมาก หญิงสาวที่อยู่ในบ้านทั้ง 4 หลัง จะมีคนจีนเข้าออกพาไปเก็บไข่หมุนเวียนกันอยู่ตลอด สำหรับคนที่จะถูกรีดไข่ จะมีการถูกฉีดยากระตุ้นการตกไข่ก่อนเพื่อให้ไข่ตกหลายใบ และเมื่อไข่พร้อมปฏิสนธิ ก็จะถูกนำตัวมาวางยาสลบและใช้เครื่องมือดูดไข่ออกไป โดยไม่รู้ชะตากรรมของทารกเหล่านั้นที่จะต้องเป็นเหยื่อค้ามนุษย์จะเป็นเช่นใด สภาพร่างกายก็ย่ำแย่ไปทุกที หญิงสาวทุกคนที่นั่นเหมือนตกนรกทั้งเป็น ส่วนตนเองเมื่อรู้ว่าถูกหลอกและไม่ยอมรีดไข่ จึงได้ติดต่อญาติเพื่อขอให้หาเงินส่งมาไถ่ตัว 70,000 บาท โดยโอนเงินเข้าบัญชีคนในขบวนการที่คาดว่าเป็นหัวหน้า จากนั้นจึงได้รับการปล่อยตัวและซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับไทยวันที่ 9 ก.ย. 67

ก่อนที่ตนจะกลับประเทศไทย มีเพื่อนสาวไทย 3 รายที่ถูกหลอกไปเหมือนกัน ซึ่งไม่ต้องการให้กลุ่มคนจีนรีดไข่ และไม่มีเงินค่าไถ่ตัวได้ ขอร้องให้ตนหาทางช่วยให้ได้กลับบ้าน ตนจึงเข้าร้องทุกข์ต่อมูลนิธิปวีณาฯ เพื่อขอให้ช่วยเหลือเพื่อนสาวไทยทั้ง 3 รายด้วย โดย นางปวีณา หงสกุล ได้ประสานตำรวจสากลที่ไทยร่วมกับตำรวจสากลระหว่างประเทศนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 30 นายเข้าไปช่วยเพื่อนทั้ง 3 คนออกจากบ้านหลังดังกล่าวที่จอร์เจีย และมูลนิธิปวีณาฯ ได้ช่วยเหลือค่าเครื่องบินในการเดินทางกลับไทยอย่างปลอดภัยเมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา