ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุอยู่ราว ร้อยละ 18 ของจำนวนประชากร หรือ ราว 12 ล้านคน หน่วยงานภาครัฐ และภาควิจัย ได้เตรียมความพร้อมด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี การวิจัย ครอบคลุมในหลายมิติ โดยเฉพาะเชิงสาธารณสุข ในการรับมือการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากร โดยเฉพาะสัดส่วนโครงสร้างผู้สูงอายุที่สูงขั้น เป็น ร้อยละ 20 ในปี พ.ศ.2565 ซึ่งโครงการ “เปลี่ยนเกษียณเป็นพลัง” ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
โดย วช. ได้ขับเคลื่อนวิจัยและนวัตกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อผู้สูงวัยมาอย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงกลุ่มผู้สูงวัย อายุ 60-70 ปี ที่ยังมีความรู้ความสามารถ ในการพัฒนาให้เป็นกำลังสำคัญของประเทศได้ โดยในปี พ.ศ. 2564-2565 จะมีผู้สูงวัยเข้าร่วมแผนและโครงการประมาณ 8-10 เรื่อง ราว 60,000 คน และก้าวสู่ 100,000 คน ในปี พ.ศ. 2566 ภายใต้ความร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร โดยผู้สูงวัยที่เข้าร่วมสามารถเป็นได้ทั้งผู้เรียน และผู้สอนในคราวเดียวกัน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เพิ่ม และสานต่อความรู้ เป็น Platform ผู้สูงวัยที่เข้มแข็ง เช่นเดียวกับ แผนงานพัฒนาศักยภาพชุมชนต้นแบบสู่วิสากิจเพื่อสังคมด้านการบริบาลผู้สูงอายุ จนเกิดเป็น “แม่มอกโมเดล” ซึ่งเห็นได้ชัดจากความร่วมมือในครั้งนี้
ศ.พญ.จิรพร เหล่าธรรมทัศน์ คณบดีคณะเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดเผยว่า ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยเรื่อง “แผนงานพัฒนาศักยภาพชุมชนต้นแบบ สู่วิสาหกิจชุมชนด้านการบริบาลผู้สูงอายุ” จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) เพื่อพัฒนาศักยภาพชุมชนต้นแบบสู่วิสาหกิจชุมชนด้านการบริบาลผู้สูงอายุแห่งแรกของประเทศไทย โดยบูรณาการความร่วมมือลักษณะสหสาขาวิชาการ ทั้งภาควิชาการ ภาครัฐ และภาคประชาสังคมในพื้นที่ รวม 22 หน่วยงาน ร่วมกันศึกษาและพัฒนา “ชุมชนนักบริบาลผู้สูงอายุต้นแบบ ต.แม่มอก อ.เถิน จ.ลำปาง” ที่เกิดจากการรวมกันของประชาชนในพื้นที่เป็นภาคประชาสังคมแบบไทย ๆ สร้างโอกาสด้วยการระดมทุนกันเองโดยไม่พึ่งรัฐ สร้างวิชาชีพ “นักบริบาลผู้สูงอายุ” ให้กับหญิงชาวบ้าน ลูกหลานชาวนาที่เป็นหญิงเฝ้าบ้าน ลูกหลานเฝ้ายายในพื้นที่ ให้มีอาชีพเสริมจากอาชีพเกษตรกรรม ภายใต้ชื่อ “ชมรมแม่มอกหลั่นล้าอีโคโนมี” จนได้รับความช่วยเหลือ จากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี จัดฝึกอบรมหลักสูตร “การดูแลผู้สูงอายุ 80 และ 420 ชั่วโมง” มีผู้จบหลักสูตร 80 ชั่วโมง 90 คน จบหลักสูตร 420 ชั่วโมง 44 คน ออกให้บริการดูแลผู้สูงอายุทั้งในขณะเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล ติดตามดูแลผู้สูงอายุที่บ้านทั้งแบบไป – กลับ และ แบบประจำรายเดือนควบคู่กับการเป็นจิตอาสาดูแลผู้สูงอายุในชุมชน พัฒนาสู่การเป็น “วิสาหกิจชุมชนด้านการบริบาลผู้สูงอายุ” ผลิตเทคโนโลยีบริหารจัดการผ่านแอปพลิเคชันมือถือ และพัฒนารูปแบบบริการให้ตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ ภายใต้แนวคิดการสร้างคุณค่าร่วม พร้อมทั้งพัฒนาบ้านนักบริบาลผู้สูงอายุในพื้นที่สู่การเป็น สถานประกอบการด้านการบริการดูแลผู้สูงอายุ ต้นแบบ ที่ได้มาตรฐานตามกรมสนับสนุนบริการสุขภาพกำหนด พัฒนาระบบจัดการหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ สำหรับนักบริบาลแบบผสมผสาน เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเข้าถึงองค์ความรู้ด้านการบริบาลผู้สูงอายุในยุควิถีใหม่ เป็นคู่มือปฏิบัติงานของนักบริบาลและหน่วยงานที่สนใจพัฒนาวิชาชีพให้กับสมาชิกในชุมชนอย่างกว้างขวางต่อไป
ศ.พญ.จิรพร กล่าวต่อว่า ผลการวิจัย ได้สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ ต่อระดับรายได้ที่เพิ่มขึ้นของนักบริบาลผู้สูงอายุและวิสาหกิจชุมชน อย่างชัดเจน กล่าวคือ นักบริบาลผู้สูงอายุมีรายได้รวมกันต่อปี จาก 843,000 บาทในปี 2561 เป็น 3,372,000 ในปี 2562 เป็น 4,215,000 บาท ใน ปี 2563 และ 6,323,272 บาท ในปี 2564 วิสาหกิจชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ในช่วง 3 เดือนแรกของการออกให้บริการของนักบริบาล 42,150 บาท เป็น 168,600 บาท ในปี 2562 และ 190,195 บาท ในปี 2563 จนมีรายได้ 524,000 บาท ในปี 2564 โดยไม่ต้องพึ่งพารัฐ และจากการคำนวณผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนในการผลิตนักบริบาลดูแลผู้สูงอายุ พบว่ามีค่าเท่ากับ 5.83 หมายความว่า ในการลงทุนผลิตนักบริบาล 1 บาท จะได้รับผลตอบแทนกลับมารวมเป็นมูลค่าเท่ากับ 5.83 บาท ชี้ให้เห็นว่า กิจกรรมเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ที่ทางโครงการได้ริเริ่มดำเนินการมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจและสังคมฐานรากสู่เศรษฐกิจชาติที่เข้มแข็ง สามารถ “ถมหลุมแห่งความเหลื่อมล้ำ” ทั้งเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
“แผนการวิจัย การพัฒนาศักยภาพชุมชนต้นแบบสู่วิสาหกิจชุมชน ด้านการบริบาลผู้สูงอายุ” ยังได้สร้าง “ชุมชนนักวิจัย” ที่สะท้อนถึงความเข้มแข็งของภาคประชาชน ภาคประชาสังคมของไทย ที่ประชาชนในพื้นที่เป้าหมายก็สามารถพัฒนาเป็นนักวิจัยร่วมตลอดกระบวนการวิจัยร่วมกับภาควิชาการ ภาครัฐได้ เป็นการพัฒนาให้เป็นชุมชนต้นแบบด้านวิสาหกิจชุมชนนักบริบาลผู้สูงอายุของประเทศ เป็นนวัตกรรมสังคมที่พัฒนาศักยภาพทรัพยากรบุคคลและมาตรการทางสังคมสู่ทางเลือกในการรองรับสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ของประเทศ ที่สามารถขยายองค์ความรู้และนวัตกรรมที่เกิดจากผลการวิจัยสู่ชุมชน สู่องค์กร สู่พื้นที่สาธารณะอื่นๆ รวมถึงให้ภาควิชาการได้เกิดกระบวนการคิดต่อ วิจัยเพื่อพัฒนาต่อยอด “สร้างความมีสุขภาพดี และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน สร้างประโยชน์ต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน” ศ.พญ.จิรพร กล่าว