พระ.ท่ากระดาน.ที่ผมนิยมชมชอบและศรัทธามาอย่างช้านาน

อ.โกร่ง ศรีสวัสดิ์ 0909862595

“พระท่ากระดานตำนานอันศักดิ์สิทธิ์
ทำชีวิตเปลี่ยนดีขึ้นด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง”

ผมต้องขอขอบพระคุณ..อาจารย์โกร่งมาณ.ที่นี้ด้วยนะครับ.ที่ส่งรูปพระ.ท่ากระดาน.ที่ผมนิยมชมชอบและศรัทธามาอย่างช้านานพร้อมกับคำอวยพร.และคงจะเป็นคำอวยพรของอาจารย์โกร่งและความศักดิ์สิทธขององค์พระ(ท่ากระดาน).

ณ.ตอนนี้ผมและครอบครัวของผมทุกๆคนไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บเลยสุขภาพแข็งแรงและที่สำคัญคือทำให้ผมปลดหนี้หลายสิบล้านบาท.ทั้งๆที่เศรษฐกิจช่วงนี้ขาลง.เพราะฉนั้นผมขอขอบพระคุณอาจารย์โกร่งด้วยความจริงใจ.. จาก เอฟซี. อ.โกร่ง ศรีสวัสดิ์

เอมมี่ แม็กซิม อมลวรรณ ศิริกิตติรัตน์ ดารา และผู้จัดละคร แม่นากพระโขนง

ช่อง 9 อสมท. พร้อมด้วย เอ๋-ดวงพร แน่งน้อย นักแสดงจากละคร ดาวย้อมแสง ช่องไอพีเอ็ม และครูสอนโยคะฟลาย

เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มแรกที่ สถาบันบำราศนราดูร ถ.ติวานนท์ ในโควต้าของสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 ส.ค. นี้

พิธีรับมอบแบบผ้าบาติกลายพระราชทาน “ปาเต๊ะร่วมใจเทิดไท้เจ้าหญิง” “ท้องทะเลไทย” และ “ป่าแดนใต้” สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา

ภายใต้โครงการสืบสานภูมิปัญญาพื้นถิ่นสู่การพัฒนาผ้าถิ่นไทย กรมการพัฒนาชุมชน

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม 2564 เวลา 13.00 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ เป็นประธานในพิธีรับมอบแบบผ้าบาติกลายพระราชทาน จำนวน 3 ลาย ได้แก่ “ปาเต๊ะร่วมใจเทิดไท้เจ้าหญิง” “ท้องทะเลไทย” และ “ป่าแดนใต้” สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ให้กับผู้ตรวจราชการกรม เบื้องหน้าพระรูปสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ณ ห้องประชุม 3003 ชั้น 3

กรมการพัฒนาชุมชน ผู้เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธี ประกอบด้วย ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์/ประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน ประธานคณะกรรมการบริหารสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์/ที่ปรึกษาชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ผู้ตรวจราชการกรม และผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน ต่อด้วยการบรรยาย เรื่อง ผ้าลายพระราชทาน โดย นายธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ รองประธานกรรมการและที่ปรึกษาโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก โดยภายในงานมีการจัดนิทรรศการสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และนิทรรศการผ้าไทยใส่ให้สนุก

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้อุทิศพระองค์ปฏิบัติบำเพ็ญพระกรณียกิจนานัปการ เพื่ออำนวยประโยชน์สุขแก่อาณาประชาราษฎร์ ทรงมุ่งมั่นที่จะสืบสานพระราชปณิธานของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาหัตถกรรมไทย ให้ดำรงอยู่ยั่งยืนตลอดไป ด้วยพระอัจฉริยภาพ พระองค์ทรงต่อยอดผสมผสานมุมมองด้านแฟชั่นที่ร่วมสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งการสืบสานอัตลักษณ์ เรื่องราวประจำภูมิภาค เป็นคุณูปการอย่างยิ่งแก่ปวงชนคนไทย ทรงพระราชทานแบบลายผ้า ชื่อลาย “ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” แก่พสกนิกรชาวไทย ผ่านอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน

เมื่อครั้งเสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน OTOP City 2020 เมื่อวันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 เวลา 14.00 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ และสื่อความหมายถึงการส่งมอบความรักและความสุขให้แก่ชาวไทยทุกคน และพระราชทานพระอนุญาตให้กลุ่มทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค สามารถนำไปทอผ้า ผลิตผ้าได้ ซึ่งกรมการพัฒนาชุมชนได้ส่งมอบลายผ้าพระราชทานต่อให้กับกลุ่มทอผ้าใน 76 จังหวัด ได้นำไปเป็นต้นแบบและพัฒนาต่อยอดไปสู่เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ตามวิถีที่เป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่น ตามพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก”

คือ ความสุขที่ได้เลือกใช้ศิลปะ หัตถกรรมไทยเพื่อให้รายได้กลับเข้าสู่ชุมชน และกระตุ้นส่งเสริมผ้าไทยให้ทันสมัยสู่สากลเป็นที่นิยมในทุกเพศ ทุกวัย และทุกโอกาส อันเป็นสิ่งที่ประจักษ์ชัดถึงพระปรีชาสามารถในด้านการออกแบบ เกิดความเชื่อมั่นว่าความงดงามของผ้าไทยจะคงอยู่คู่กับสังคมไทย ตลอดจนเชิดชูเกียรติแก่ผู้สืบทอดภูมิปัญญาผ้าไทย โดยได้พระราชทานพระอนุญาตให้ กรมการพัฒนาชุมชน และสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จัดการประกวดลายผ้าพระราชทาน “ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” นับเป็นมิ่งมงคลยิ่งต่อการเริ่มต้นกิจกรรมการประกวด โดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้ดำเนินการจัดประกวดผ้าพระราชทาน ภายใต้โครงการส่งเสริมภูมิปัญญาและพัฒนาศักยภาพผ้าไทย โดยดำเนินการประกวดในระดับภาค 4 ภาค และระดับประเทศ และได้ดำเนินการ kick off การประกวดผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเคนทารี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยครั้งนั้นกรมการพัฒนาชุมชนได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงพระราชทานแบบผ้าบาติกลายพระราชทาน 3 ลาย ในโอกาสเปิดการประกวดผ้าลายพระราชทาน“ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ”ประกอบด้วย 1) “ปาเต๊ะร่วมใจเทิดไท้เจ้าหญิง” 2) “ท้องทะเลไทย” และ 3)

“ป่าแดนใต้” ที่พระองค์ได้แรงบันดาลพระทัยจากการเสด็จไปทอดพระเนตรงานศิลปหัตถกรรมจากภูมิปัญญาพื้นถิ่นในภาคใต้หลายครั้ง ทรงพบเห็นวิถีชีวิตและธรรมชาติของภาคใต้ ที่มีเอกลักษณ์ พระดำริทั้งหมดถูกถ่ายทอดลงบนผ้าลายบาติกพระราชทานนี้ เพื่อพระราชทานให้กับช่างฝีมือบาติก เป็นของขวัญตอบแทนมิตรภาพ และความจริงใจที่ประชาชนชาวภาคใต้มอบให้กับพระองค์ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าของผลิตภัณฑ์ด้วยเรื่องราวและความหมายชวนประทับใจเป็นการยกระดับผ้าไทยให้มีความร่วมสมัย สามารถก้าวสู่ระดับสากล เพื่อวิถีชุมชนที่ยั่งยืนเปรียบดังแสงสว่างแห่งวิถีความงดงามของอัตลักษณ์ไทย ส่งผ่านไปสู่พี่น้องประชาชน นำทางให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนเศรษฐกิจฐานราก อันเป็นพลังที่จะสืบสานความเป็นไทยให้คงอยู่สืบไป
ผ้าบาติกลายพระราชทาน “ปาเต๊ะร่วมใจเทิดไท้เจ้าหญิง” สื่อถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ วิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่งดงาม ลวดลายประกอบด้วย ลายนกยูง หมายถึง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ,ลายคลื่นน้ำ หมายถึง ท้องทะเลภาคใต้ ที่มีธรรมชาติอันสวยงาม ,ลายเรือกอและ หมายถึง วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของภาคใต้ที่ควรรักษาไว้ ,ลายดอกไม้โปรย สื่อถึงมิตรภาพและความจริงใจที่ประชาชนชาวภาคใต้มอบให้กับพระองค์ ลายพระอาทิตย์ หมายถึง พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ,ลายกรอบตัว S อักษรพระนามาภิไธย S หมายถึง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา
ผ้าบาติกลายพระราชทาน “ท้องทะเลไทย” ด้วยแรงบันดาลพระทัยในการอนุรักษ์สัตว์ทะเลและสิ่งแวดล้อมของท้องทะเลไทย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงออกแบบลายผ้าบาติกพระราชทาน ‘ท้องทะเลไทย’ ด้วยทรงพระดำริ ให้เป็นการจุดประกายความคิดเพื่อให้ ผู้คนเกิดจิตสำนึกในการหวงแหนและรักษาทรัพยากรทางทะเลไทยอันมีค่า ลวดลายประกอบด้วย ลายกะละปังหา หมายถึง ต้นกะละปังหาที่แตกกิ่งก้านออกเป็นรูปพัด เป็นบ้านของสัตว์ทะเลหลายชนิด ,ลายม้าน้ำ ม้าน้ำที่ขดตัวเป็นอักษรพระนามาภิไธย S หมายถึง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ,ลายคลื่น ลูกคลื่นที่ล้อไปกับอักษรพระนามาภิไธย S หมายถึง ความห่วงใยใน สิ่งแวดล้อมของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ,ลายดาวทะเล หมายถึง สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลไทย ,ลายขอบตัว S อักษรพระนามาภิไธย S หมายถึง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา
ผ้าบาติกลายพระราชทาน ‘ป่าแดนใต้’ สื่อถึงวิถีชีวิตและธรรมชาติของภาคใต้ที่มีเอกลักษณ์ จึงได้ทรงออกแบบผ้าบาติกลายพระราชทาน ‘ป่าแดนใต้’ ด้วยทรงพระดำริให้เป็นการจุดประกายความคิด ในเรื่องของการอนุรักษ์ป่าฝนเขตร้อนที่มีระบบนิเวศอันอุดม ลวดลายประกอบด้วย ลายดอกดาหลาสัญลักษณ์ของดอกไม้พื้นถิ่นภาคใต้ ,ลายนกเงือก 10 ตัว หมายถึง พระบาทสมเด็จ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังหมายถึงความรักที่ซื่อสัตย์ ,ลายเถาไม้รูปตัว S หมายถึง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ,ลายคลื่นตัว S และลายลูกปลากุเลา หมายถึง ความห่วงใยในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของภาคใต้ของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ,ลายปารังและลายต้นข้าว สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ของภาคใต้
ด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา
และเป็นการต่อยอดการพัฒนาผ้าบาติกลายพระราชทานให้กับกลุ่มทอผ้า และช่างฝีมือบาติกได้นำไปเป็นต้นแบบและพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าไทยในทุกภูมิภาคให้ร่วมสมัย นำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง เป็นวงจรเศรษฐกิจเชิงมหภาค สร้างวิถีชุมชนที่ยั่งยืน และสนองตอบมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 ในการเห็นชอบมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และ
สวมใส่ผ้าไทย โดยการรณรงค์เชิญชวนคนไทยสวมใส่ผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละสองวันเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า รากเหง้าจากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษให้ดำรงคงอยู่ปรากฏเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย กรมการพัฒนาชุมชนจึงจัดทำโครงการสืบสานภูมิปัญญาพื้นถิ่นสู่การพัฒนาผ้าถิ่นไทย ขึ้น
โครงการสืบสานภูมิปัญญาพื้นถิ่นสู่การพัฒนาผ้าถิ่นไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่พระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ด้านการออกแบบเครื่องแต่งกาย และการอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมจากภูมิปัญญาพื้นถิ่นของไทย เพื่อประชาสัมพันธ์ผ้าบาติกลายพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และเพื่อนำแบบผ้าบาติกลายพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เป็นต้นแบบและพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าพื้นถิ่น กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 167 คน แยกเป็นระดับกรม จำนวน 15 คน ประกอบด้วย อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน จำนวน 3 คน ผู้ตรวจราชการกรม จำนวน 10 คน และผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน ระดับจังหวัด ประกอบด้วย พัฒนาการจังหวัด 76 จังหวัด และผู้แทนกลุ่มทอผ้า จำนวน 76 จังหวัด ดำเนินการจัดงาน และถ่ายทอดออนไลน์ให้กับจังหวัดได้รับชม โดยกิจกรรมประกอบด้วย พิธีมอบแบบผ้าบาติกลายพระราชทาน “ปาเต๊ะร่วมใจเทิดไท้เจ้าหญิง” “ท้องทะเลไทย” และ “ป่าแดนใต้” โดยอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนมอบให้กับผู้ตรวจราชการกรม การจัดนิทรรศการสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และนิทรรศการผ้าไทยใส่ให้สนุก การบรรยายให้ความรู้ เรื่อง ลายผ้าพระราชทานผ่านระบบ Zoom Cloud Meetings โดยนายธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ รองประธานกรรมการและที่ปรึกษาโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก และจัดพิธีมอบแบบผ้าบาติกลายพระราชทาน “ปาเต๊ะร่วมใจเทิดไท้เจ้าหญิง” “ท้องทะเลไทย” และ “ป่าแดนใต้” โดยพัฒนาการจังหวัดมอบให้กับกลุ่มทอผ้าในจังหวัด
เป้าหมายของการจัดงานคือ ผู้ที่เข้าร่วมงานเกิดความสำนึก และตระหนักในพระกรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทยในเรื่องของการสืบสาน รักษา ต่อยอด มรดกภูมิปัญญาผ้าไทย และการอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมจากภูมิปัญญาพื้นถิ่นของไทย ไปจนถึงกลุ่มทอผ้า และช่างฝีมือบาติกมีการนำแบบผ้าบาติกลายพระราชทานไปเป็นต้นแบบและพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ในสู่ชุมชน เป็นวงจรเศรษฐกิจเชิงมหภาค สร้างวิถีชุมชนที่ยั่งยืน ตัวชี้วัดคือ กลุ่มทอผ้ามีการนำแบบผ้าบาติกลายพระราชทานไปเป็นต้นแบบและพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าพื้นถิ่น จำนวน 76 จังหวัด/76 ผลิตภัณฑ์
จากนั้นประธานในพิธีได้เยี่ยมชมนิทรรศการสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และนิทรรศการผ้าไทยใส่ให้สนุก ตามลำดับ โดยในระดับจังหวัด จะจัดพิธีมอบแบบผ้าบาติกลายพระราชทาน “ปาเต๊ะร่วมใจเทิดไท้เจ้าหญิง” “ท้องทะเลไทย” และ “ป่าแดนใต้” โดยพัฒนาการจังหวัดมอบให้กับกลุ่มทอผ้าในจังหวัดต่อไป.

BOSCH ยกระดับมาตรฐานใหม่เครื่องมือไร้สาย เปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำ BITURBO Brushless กลุ่ม18V


ชูเทคโนโลยีมอเตอร์ไร้แปรงถ่านประสิทธิภาพสูงเอกสิทธิ์หนึ่งเดียวจากบ๊อช

กรุงเทพฯ – กลุ่มบริษัทบ๊อช (Bosch Group)ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเครื่องมือไฟฟ้าไร้สาย ยกระดับมาตรฐานใหม่ด้านประสิทธิภาพ เปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำBITURBO Brushlessเทคโนโลยีมอเตอร์ไร้แปรงถ่านประสิทธิภาพสูงผสานกำลังแบตเตอรี่ ProCORE18V รุ่นใหม่ที่มีกำลังแรง เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ต่อเนื่องตอบโจทย์ทุกสภาวะการใช้งานได้อย่างมืออาชีพตอกย้ำผู้นำตลาดเครื่องมือไฟฟ้าอย่างแท้จริง

BITURBO คือนวัตกรรมใหม่สำหรับเครื่องมือไฟฟ้าไร้สายบ๊อชที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงานแบบมืออาชีพอย่างแท้จริงโดยผสานสองขุมพลัง มอเตอร์ไร้แปรงถ่านประสิทธิภาพสูง(Brushless Motor) ที่ผลิตจากแม่เหล็กนีโอไนเดียมคุณภาพสูง ทนทาน ให้กำลังสูงสุดถึง 1,800 วัตต์ เทียบเท่าเครื่องมีสายประเภทงานหนัก ผสานเข้ากับ ProCORE18V แบตเตอรี่ที่ให้กำลังตัวเครื่องได้เพิ่มขึ้นกว่า 87% ด้วยเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ใหม่ที่มาพร้อมระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะเทคโนโลยี COOL PACK 2.0 ที่จะช่วยคลายความร้อนที่เกิดจากการใช้งานได้ดียิ่งขึ้นและเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอร์รี่ได้มากถึง135% เอกสิทธิ์หนึ่งเดียวจากบ๊อชเท่านั้น

BB_19_1115_ENG_17_Biturbo_Demo_Case.indd

นายธีรทัศน์ ประเสริฐเมธากุล ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายเครื่องมือไฟฟ้า บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จำกัด เปิดเผยว่าปัจจุบันตลาดเครื่องมือไฟฟ้าไร้สายมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และบ๊อชซึ่งเป็นผู้นำนวัตกรรมในตลาดเครื่องมือไร้สายโดยในปีนี้บ๊อชได้เปิดตัวเครื่องมือไฟฟ้าไร้สาย 18V ใหม่ 13 รายการ ที่เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม BITURBOประกอบไปด้วย สว่านโรตารี่,สว่านไขควง,ประแจกระแทก,เครื่องเจียรและเลื่อยวงเดือนกลุ่มเครื่องมือไร้สาย18V ที่มาพร้อมเทคโนโลยีมอเตอร์ไร้แปรงถ่านประสิทธิภาพสูง (Brushless Motor)ด้วยคุณสมบัติเทียบเท่ากับเครื่องมือแบบมีสายประเภทงานหนัก และแบตเตอรี่กำลังสูงProCORE18V ซึ่งการผนึกกำลังระหว่างสองนวัตกรรมนี้เรียกว่าเป็นการยกระดับมาตรฐานใหม่ด้านประสิทธิภาพ รองรับงานหนักอย่างเต็มรูปแบบ และที่สำคัญผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม BITURBO มาพร้อมชิปอัจฉริยะ

เพื่อขยายการรองรับนวัตกรรมการเชื่อมต่อในเครื่องมือไฟฟ้าไร้สายและเป็นมิตรกับผู้ใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน Bosch ToolBox
บ๊อช มุ่งตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องมือไฟฟ้าผ่านการทำตลาดกลุ่มเครื่องมือไร้สายอย่างเข้มข้น โดยการขยายไลน์สินค้าในกลุ่ม BITURBO รวมถึงสินค้าในกลุ่มไร้สายอื่นๆ ที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มความต้องการได้อย่างครอบคลุมทุกกลุ่มผู้ใช้งาน รวมถึงการเพิ่มศักยภาพในการสื่อสารถึงกลุ่มผู้ใช้ทุกช่องทางทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างสื่อการตลาดณจุดขายตามช่องทางการจัดจำหน่าย รวมถึงระบบการตลาดแบบดิจิตอลและแอปพลิเคชัน(Bosch BeConnected) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นในการติดต่อกับแบรนด์ ครบถ้วนตามวงจรของผู้ใช้งาน (Seamless User Journey) ควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายออนไลน์ (Digital Retail) ตอบโจทย์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายที่เปลี่ยนไป เพื่อสร้างการเติบโตธุรกิจให้กับพันธมิตรและคู่ค้าในระยะยาวอย่างยั่งยืน

สว่านไร้สาย / สว่านกระแทกGSR/ GSB18V-150 C: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานขันสกรูและเจาะกระแทกด้วยมอเตอร์ไร้แปรงถ่านอันทรงพลังที่มีแรงบิดสูงที่ 84/150 นิวตันเมตรควบคุมด้วยระบบป้องกันการสะบัด(KickBackControl)และระบบSensor ที่สามารถวัดความเอียงพร้อมการตรวจจับมุมอิเล็กทรอนิกส์ที่แม่นยำช่วยให้สามารถควบคุมแต่ละขั้นตอนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ไม่มีใครเทียบได้ซึ่งมาในราคาที่จับต้องได้ เริ่มต้นเพียง6,590 บาท (GSR 18V-150C (Solo))

สว่านโรตารี่ไร้สายGBH 18V-45 C: สว่านโรตารี่ไร้สายSDS Max 3 ระบบ น้ำหนัก 8 กก.ครอบคลุมทุกงานหนักเหมาะสำหรับการเจาะและสกัดในคอนกรีต หิน และงานก่ออิฐ มีขนาดเจาะ 45 มม.รับแรงกระแทกได้ถึง12.5 จูล แต่น้ำหนักเบาเพียง8กก.ซึ่งเบากว่าเครื่องมือแบบมีสายรุ่นเทียบเท่าถึง 700 กรัมเตรียมเปี่ยมด้วยระบบเพื่อความปลอดภัยในผู้ใช้งาน เช่นระบบป้องกันการสะบัด(KickBack Control)ช่วยลดอันตรายจากสะบัดของเครื่องมือเมื่อเจาะเจอสิ่งกีดขวาง ระบบ Soft Start เพื่อเพิ่มความแม่นยำและสะดวกสบายในการทำงาน ระบบควบคุมแรงสั่นสะเทือน (Vibration Control) ที่จะช่วยลดการสะท้านมือจากการใช้เครื่องมือเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนาน ในราคาเพียง34,900 บาท (GBH 18V-45 C (Solo))

Smart Module : Simply Connected
นอกจากนี้สิ่งที่ล้ำไปอีกขั้นคือ นวัตกรรมการเชื่อมต่อในเครื่องมือไร้สายผ่านแอปพลิเคชัน Bosch ToolBoxโดยชิปอัจฉริยะ สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการทำงานของเครื่องมือได้โดยเชื่อมต่อสัญญาณผ่าน Bluetooth Low Energyที่ใช้สื่อสารระหว่างเครื่องมือและสมาร์ทโฟน ได้อย่างง่ายดายบนฟังก์ชั่น MyTool เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานได้อย่างเต็มที่ เช่น เช็คเวลาการทำงานของเครื่อง สถานะแบตเตอรี่ ตรวจสอบข้อมูลการผลิตและข้อมูลเทคนิคของตัวเครื่อง รวมถึงสามารถกำหนดและตั้งค่าการทำงานอื่นๆของเครื่องได้ นับเป็นประสบการณ์การทำงานรูปแบบใหม่กับเครื่องมือไร้สายได้อย่างลงตัว

กองทัพเรือสนับสนุนศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน

จัดกำลังพลร่วมตรวจเชิงรุกชุมชน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัส โควิด -19

  เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม  2564  กองทัพเรือ  โดยศูนย์ประสานงานและสนับสนุน  โครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริของกองทัพเรือ (ศปง.โครงการจิต   อาสา ฯ  ทร.) ได้จัดจิตอาสาอาสา 904  สังกัดกองทัพเรือ  และกำลังพลจิตอาสาจากหน่วยต่างๆ พร้อมบุคลากรทางแพทย์  ร่วมกับแพทย์พยาบาลอาสา และจิตอาสาชุมชน   ทำการตรวจเชิงรุกด้วยรถตรวจโรคเชิงรุกชีวนิรภัยพระราชทานจำนวน  2 คัน  ทำการตรวจหาเชื้อ covid-19 ให้กับประชาชน  ณ  วัดครุในซอยสุขสวัสดิ์ 70/1 ต.ครุใน  อ. พระประแดงจ. สมุทรปราการ    เป็นวันแรก
จากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ขณะนี้มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกับจำนวนเตียงในโรงพยาบาลที่จะสามารถรองรับให้บริการกับประชาชน

ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.จอส.พระราช ทาน)

จึงมีแนวความคิดในการสนับสนุน การปฏิบัติการลดชีวนิรภัยตรวจเชิงรุกชุมชน เพื่อช่วยลดความคับคั่งและอัตราการเพิ่มของผู้ป่วยที่จำเป็นจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ทั้งโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนาม ด้วยการปูพรมตรวจค้นหาเชิงรุกตามชุมชน โดยจะทำการตรวจในพื้นที่ชุมชนวัดครุใน ซอยสุขสวัสดิ์ 70/1 ต.ครุใน อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เป็นเวลา 2 วัน ระหว่างวันที่ 19-20 สิงหาคม 2564 พร้อมทั้งให้ความรู้กับประชาชน และคัดแยกผู้มีอาการผู้ป่วยสีเขียวคือผู้ที่ไม่มีอาการ จะใช้ระบบ Home Isolation. หรือ Community Isolation ในการดูแลรักษา ควบคู่ไปกับการใช้ชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 Antigen test kit ต่อไป

Dr.Air มาแล้ว เครื่องบำบัดอากาศฆ่าเชื้อนวัตกรรมล้ำยุค สะเทือนตลาดเครื่องฟอกอากาศ 2,800 ล้านบาท

ตลาดเครื่องฟอกอากาศในประเทศไทยมูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท สะเทือนแน่ เมื่อบริษัท สมาร์ท เฮลท์ โซลูชั่น จำกัด นำเข้าและจำหน่าย สุดยอดนวัตกรรมเครื่องบำบัดอากาศเทคโนโลยีการฆ่าเชื้อล่าสุด HYDROXYL หรือ NUCLEOPHILE จากประเทศเยอรมนี ยี่ห้อ Dr.Air ที่ถูกคิดค้นโดยหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ระดับโลก ที่มีผลทดสอบสามารถฆ่าเชื้อ COVID-19 ได้รวดเร็วมากกว่า 90% ภายใน 5 นาที และมากกว่า 99.99% ภายใน 15 นาที ช่วยป้องกันมลพิษ แบคทีเรีย และไวรัส ตั้งเป้าขอส่วนแบ่งตลาด 10% หรือประมาณ 280 ล้านบาท

สุดฮอต รุ่นพกพาได้ DONUT ผลิตไออ้อน 5 ล้าน ions/cm3 สร้างเกราะป้อนกันมลพิษ และ เชื้อโรค พร้อมเติมวิตามินสร้างสมดุลอากาศรอบตัวผู้พกพาในรัศมี 1 ลูกบาศก์เมตร และเครื่องฆ่าเชื้อรุ่น TORNADO ใช้งานในรถยนต์ ที่จะเปิดตัวปลายเดือนสิงหาคมนี้
พ.ต.อ.จารึก สารโภค
​ทั้งนี้ พ.ต.อ.จารึก สารโภค ประธานบริษัท สมาร์ท เฮลท์ โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า ในสถานการณ์ที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสต่างๆ อย่างน่าตกใจ อาทิเช่น PM2.5 และโควิด-19 นั้น บริษัทฯ เล็งเห็นและเป็นห่วงต่อภัยที่เข้ามาคุกคามสุขภาพและชีวิตของคนไทย จึงได้นำเข้าเครื่องบำบัดอากาศยี่ห้อ Dr.Air ซึ่งเป็นสุดยอดนวัตกรรมของโลกด้านการบำบัดอากาศ ป้องกันมลพิษ แบคทีเรีย และเชื้อไวรัส จากประเทศเยอรมนี เข้ามาจำหน่าย เพื่อเป็นทางเลือกในการป้องกันและรักษาสุขภาพของคนไทย
​สำหรับเครื่องบำบัดอากาศ Dr.Air ที่บริษัทฯ นำเข้ามาจำหน่ายประกอบด้วย

  1. เครื่องบำบัดอากาศฆ่าเชื้อโรคที่ติดตั้งในที่ประชุม ในบ้านและในรถยนต์ คือรุ่น TORNADO ที่มีเทคโนโลยีการ
    ฆ่าเชื้อล่าสุด ด้วย HYDROXYL หรือ NUCLEOPHILE ที่ถูกคิดค้นโดยหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ระดับโลก PROFESSOR ANGEL PORGADOR ที่มีความรวดเร็วในการฆ่าเชื้อกลางอากาศและบนพื้นผิวทะลวงทุกซอกมุม โดยที่ยังใช้ชีวิตร่วมกันปกติไม่เป็นพิษกับคน ได้รับการทดสอบการฆ่าเชื้อ COVID-19 จากห้องปฏิบัติการ ไวรัสวิทยา Wuhan Institute Virology ประเทศจีน ระดับ P4 ซึ่งมีเพียงไม่กี่แห่งในโลก ผลทดสอบสามารถฆ่าเชื้อ COVID-19 ได้รวดเร็วมากกว่า 90% ภายใน 5 นาที และ มากกว่า 99.99% ภายใน 15 นาที ครอบคลุมการใช้งานถึง16 ตารางเมตร น้ำหนักเพียง 1 กิโลกรัม ออกแบบมาใช้งานง่ายและเอนกประสงค์ ในรถยนต์ส่วนบุคคล รถขนส่งสาธารณะ เช่น รถแทกซี่ รถตู้ รถบัส รถไฟฟ้าบีทีเอสและใต้ดิน ลิฟท์โดยสาร รวมถึงการใช้งานในบ้าน ที่ทำงาน ร้านอาหาร และ สถานบริการ ต่างๆ เพื่อช่วยลดภาวะการติดเชื้อทางอากาศได้
    นอกจากนี้ เพื่อสร้างความเชื่อ ยังได้ส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบการฆ่าเชื้อ COVID-19 ที่สถาบันทดสอบ INNOVATIVE BIOANALYSIS รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ผลทดสอบได้ดีเช่นกัน โดยการรับรองอย่างเป็นทางการจะเสร็จสิ้นปลายเดือนสิงหาคม 2564 นี้
    PROF. ANGEL PORGADOR แบบติดรถยนต์
  1. เครื่องบำบัดอากาศขนาดพกพา รุ่น DONUT ที่กำลังเป็นสินค้ายอดนิยมของบริษัทฯ ที่มีประสิทธิภาพกำจัดเชื้อโรค โดยใช้วิธีการสร้างประจุลบที่เรียกว่า Anion ด้วยหลักการ CORONA DISCHARGE ทางไฟฟ้าสถิต ลอยไปในอากาศ ซึ่งประจุลบนี้จะทำหน้าที่จับอนุภาคขนาดเล็ก เช่น ฝุ่นควัน หมอก ละอองมลพิษ และเชื้อโรคต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นประจุบวกที่ลอยอยู่ในอากาศรอบตัวเรา เพื่อให้เกิดอนุภาคขนาดใหญ่ และทำให้เชื้อโรคอ่อนตัวลงตกลงสู่พื้น ก่อนที่จะถูกสูดดมเข้าทางระบบหายใจ ดังนั้น จึงเป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากการสูดมลพิษในอากาศและเชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ระบบหายใจ รอบตัวผู้พกพาในรัศมี 1 ลูกบาศก์เมตร กำจัดเชื้อโรคแบคทีเรียได้มากกว่า 90% กำจัดฝุ่นขนาดเล็กป้องกันภูมิแพ้ ผลิตไออ้อนเข้มข้นได้ถึง 5 ล้านไออ้อน/ลูกบาศเซนติเมตร โดยใช้วิธีการพกพาด้วยการห้อยคอด้วยน้ำหนักเบาเพียง 30 กรัมไม่มีไส้กรองให้ยุ่งยาก
    “ประจุลบที่ปล่อยออกมาในอากาศ เปรียบเสมือนวิตามินที่ถูกสูดเข้าไปทางระบบหายใจ ขณะที่ร่างกายปกติของเรา จะมีทั้งประจุลบและประจุบวกในตัวเองเพื่อให้เกิดสมดุล แต่เมื่อเราทำงานไปในแต่วัน ประจุลบจะถูกใช้งาน และเมื่อมีปริมาณลดน้อยลงก็จะทำให้เรารู้สึกเมื่อยล้า
    “ประจุลบจะมีมากตามน้ำตกภูเขาทะเล ป่าเขา หรือในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ทำไมเวลาเราไปตามสถานที่ที่เรารู้สึกสดชื่นขึ้น ก็เพราะได้รับประจุลบ ทำให้ร่างกายมีสมดุลเพิ่มขึ้น โดยมีผลวิจัยมากกว่า 700 รายงานทั่วโลกถึงผลประโยชน์ของประจุลบ หนึ่งในนั้นคือ มีการทดลองในห้องเรียน โดยแบ่งห้องเรียนเป็น 2 กลุ่ม ห้องหนึ่งทำการติดตั้งเครื่องเติมประจุลบ ส่วนอีกห้องหนึ่งปล่อยตามธรรมชาติ ผลที่ได้รับคือ ห้องที่เติมประจุลบ นักเรียนจะมีสมาธิและมีความตั้งใจในการเรียน รวมถึงการจดจำที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ฉะนั้นการมีอุปกรณ์ที่สามารถสร้างประจุลบได้ จึงเป็นประโยชน์กับร่างกายของเรา” พ.ต.อ.จารึก กล่าว
    นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมเครื่องบำบัดอากาศระบบส่งอากาศบริสุทธิ์ที่ใช้ร่วมกับหน้ากาก KN95 ได้แก่ Air Force 1 และ Air Force 2 ป้องกันเชื้อโรคมากกว่า 99.9% หมดปัญหาการหายใจไม่สะดวกจากการใส่หน้ากากแบบธรรมดาที่จะทำให้เกิดภาวะออกซิเจนไม่เพียงพอส่งผลต่อสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาวและยังสร้างบรรยากาศภายใต้หน้ากากเราให้เป็นห้องปลอดเชื้อในตัว มีใส้กรอง HEPA ใช้นาน 500 ชั่วโมงหรือประมาณ 2 เดือน พร้อมปรับแรงลมได้ 3 ระดับ ใช้งานได้หลากหลาย ทั้งห้อยคอ รัดแขน รัดเอว และคาดศีรษะ น้ำหนักเพียง 150 กรัม
    Air Force 1-2 DONUT แบบพกพา

พ.ต.อ.จารึก กล่าวด้วยว่า ในปื 2564 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจะเข้ามาครองสัดส่วนการตลาดรวมของเครื่องฟอกอากาศ 2,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นสินค้าในกลุ่มสินค้าเดียวกันไว้ประมาณ 10% หรือประมาณ 280 ล้านบาท และการมีนโยบาย​คืนกำไรสู่สังคม​ โดยจะแบ่งรายได้จากการจำหน่ายสินค้า Dr.Air​ ทุกตัว สมทบทุนบริจาคซื้อเครื่องผลิตออกซิเจนช่วยหายใจให้ตามโรงพยาบาลที่รักษาผู้ป่วยโควิดอาการหนัก โดยราคาขาย Dr.Air หลักพันบาท จะบริจาค 110 บาท ราคาหลักหมื่น บริจาค 1,110บาท และหลักแสน จะบริจาค 10,910 บาท การบริจาคจะเสร็จสิ้นจนกว่าโควิดจะหมดจากประเทศไทย
“ตอนนี้ Dr.Air ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ล่าสุดคุณต๋อง ศิษย์​ฉ่อย ​หรือเจมส์​ วัฒนา​ จากพรีเซนเตอร์​สัญญา​ 3 ปี ได้ตัดสินใจเข้ามาถือหุ้นด้วยแล้ว เพราะเห็นว่า Dr.Air​ เป็นผลิตภัณฑ์​ที่มีคุณภาพ” พ.ต.อ.จารึก กล่าวในที่สุด

เจ้าเมืองท่ากระดานกับชาวบ้านมาให้ฤาษีตาไฟปลุกเสกเครื่องรางของขลังเพื่อไปสู้รบกับข้าศึก

ุจุดกำเนิดพระท่ากระดานอยู่ที่ถ้ำลั่นทม ฤาษีตาไฟเป็นผู้สร้างตอนอายุ45ปี ที่เรียกว่าถ้ำลั่นทมเพราะว่ามีต้นลั่นทมอยู่หน้าปากถ้ำ1ต้น
วัดท่ากระดานหรือเมืองหน้าด่านท่ากระดานห่างจากถ้ำลั่นทมประมาณ2ก.ม. เจ้าเมืองท่ากระดานกับชาวบ้านมาให้ฤาษีตาไฟปลุกเสกเครื่องรางของขลังเพื่อไปสู้รบกับข้าศึก
ฤาษีตาไฟได้สร้างพระท่ากระดานเป็นเนื้อตะกั่วสนิมแดง เทลงในบล็อคดินเผา นำไปแจกให้แก่ทหารของเจ้าเมืองท่ากระดานเพื่อใช้สู้รบกับข้าศึก แล้วฟันแทงไม่เข้า พระท่ากระดานจึงได้รับฉายา ว่า’ ‘ขุนศึกแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง” เราตามมาดูกันพร้อมเจาะลึกความจริงจากรายการล้านเรื่องเล่าอมรินทร์ทีวี กับ อ. โกร่ง ศรีสวัสดิ์ โทรปรึกษาได้ 0909862595

เดินหน้า”5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย”ฝ่าวิกฤติโควิด กระทรวงเกษตรฯ.ผนึกเครือข่ายเกษตรอินทรีย์คิกออฟสภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส.ครั้งแรก

ในประเทศไทย “อลงกรณ์”เล็งเป้าตลาดแสนล้านปั้นไทยฮับอาเซียน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวปาฐกถาพิเศษในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการแนวทางและแผนดำเนินการขับเคลื่อน”สภาเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส.แห่งประเทศไทย”วันนี้ว่า สินค้าเกษตรอินทรีย์เป็นที่ต้องการของตลาดโลกอย่างมากโดยมีมูลค่ากว่า1แสนล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า3ล้านล้านบาท มีอัตราเติบโตปีละ 20% ตลาดที่สำคัญของโลกคือยุโรปและอเมริกาเหนือ ส่วนตลาดที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็วคือ จีน ออสเตรเลีย และอาเซียน สำหรับในประเทศไทยมีมูลค่าตลาด 3,000 ล้านบาท และส่งออก 2,000 ล้านบาท ยังขยายตัวได้อีกมากด้วยนโยบายและกลยุทธ์ใหม่ๆ คาดว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19

ทำให้ผู้บริโภคตระหนักถึงเรื่องสุขภาพจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดความต้องการสินค้าเกษตรอินทรีย์ทวีมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสำคัญกับการทำเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มที่ เพราะจะเป็นประโยชน์กับตัวเกษตรกรและผู้บริโภคในประเทศ รวมทั้งเป็นสินค้าเกษตรแห่งอนาคต(Future Food)ที่มีโอกาสเติบโตในตลาดโลกได้อย่างมากจึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ด้านการผลิต การแปรรูป การบริโภค การค้าสินค้า และ การบริการเกษตรอินทรีย์ ที่มีความยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลและได้จัดให้มี”ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564”โดยมีคณะกรรมการเกษตรอินทรีย์แห่งชาติและคณะกรรมการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นกลไกระดับนโยบายและมีคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นกลไกในการขับเคลื่อนภายใต้3คณะทำงานได้แก่คณะกรรมการด้านเกษตรอินทรีย์ คณะทำงานด้านเกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรผสมผสานและคณะทำงานด้านวนเกษตรและเกษตรธรรมชาติ
ทั้งนี้รัฐบาลได้จัดงบประมาณปี 2564จำนวน 1.9 พันล้านบาทสนับสนุนโครงการของกระทรวงทบวงกรมต่างๆรวมทั้งสิ้น 209 โครงการเช่นโครงการข้าวอินทรีย์ ที่ขยายพื้นที่ได้ปีละประมาณ 3 แสนไร่
สำหรับปี2563ที่ผ่านมาคณะกรรมการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่มีดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานได้เร่งขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการปี 2564-2565เดินหน้าจัดทำร่าง พรบ.เกษตรกรรมยั่งยืนพร้อมกับอนุมัติให้มีการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติรวมทั้งการจัดทำโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง(Urban Farming)และโครงการธนาคารสีเขียว(Green Bank) เพื่อสร้างโอกาสในวิกฤติโควิด19ได้มอบให้สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.)จัดทำหลักเกณฑ์การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม(PGS)พร้อมกับจัดตั้ง”สภาเกษตรอินทรีย์ พีจีเอส.(PGS)แห่งประเทศไทยเป็นครั้งแรก
วันนี้จึงถือเป็นวันดีเดย์ก้าวแรกของสภาเกษตรอินทรีย์ พีจีเอส.
ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนโดยเฉพาะเครือข่ายองค์กรเกษตรอินทรีย์หลักๆเช่น มูลนิธิเกษตรอินทรีย์ไทย มูลนิธิ เกษตรกรรมยั่งยืน สมําพันธ์เกษตรอินทรีย์ไทย พีจีเอส สหพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนแห่ง ประเทศไทย ยังมีกลุ่มเกษตรกรเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส ในเครือข่ายอื่นๆ อีกเป็นจํานวนมากที่พร้อมจะร่วมกันขับเคลื่อนสภาเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส และแผนดําเนินงานขับเคลื่อนระบบ พี จี เอสของประเทศให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
(1) เพิ่มพื้นที่และปริมาณการผลิตเกษตรอินทรีย์
(2) เพิ่มการค้าและการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์
(3) เพื่อให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ
(4) เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของสินค้าและบริการด้านเกษตรอินทรีย์ในระดับภูมิภาค
การจะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวต้องบริหารเชิงกลยุทธ์แบบSand Box Modelให้เกิดความคล่องตัวเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและท้องถิ่นทั้งนี้จะต้องพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค การพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์โดยเชื่อมโยงการทำงานกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(AIC)อย่างใกล้ชิดด้านการวิจัยพัฒนา การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการอบรมบ่มเพาะเกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งการพัฒนาตลาดกลางสินค้าเกษตรอินทรีย์แบบออนไลน์และออฟไลน์เป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค การสร้างแบรนด์ของสินค้าเกษตรอินทรีย์ในระบบทรัพย์สินทางปัญญาและการเชื่อมโยงการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรอินทรีย์จากผลผลิตทั้งพืชและสัตว์กับโครงการ1กลุ่มจังหวัด1นิคมเกษตรอุตสาหกรรม ประการสำคัญคือจะต้องมีรวมศูนย์ข้อมูลกลางของเกษตรอินทรีย์ซึ่งสามารถใช้ศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ(National Agriculture Big Data Center:NABC)ได้ทันทีและควรยึดหลัก”Zero Kilometer”คือ”ผลิตที่ไหนขายที่นั่น”จะได้ผลิตตามความต้องการของตลาดที่ใกล้ตัวที่สุดจากในชุมชนสู่ภายในจังหวัดในระดับภาคระดับประเทศและต่างประเทศตาม5ยุทธศาสตร์ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แก่ตลาดนำการผลิต,เทคโนโลยีเกษตร4.0,3S(safety-security-sustainability เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง เกษตรยั่งยืน,ศาสตร์พระราชาและบูรณาการเชิงรุกทุกภาคส่วน
เพื่อบรรลุเป้าหมาย 4ประการ
(1) เพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 600,000 ไร่ ภายในปี 2564
(2) เพิ่มจำนวนเกษตรกรเกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 30,000 ราย ภายในปี 2564
(3) เพิ่มสัดส่วนตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศต่อตลาดส่งออกโดยให้มีสัดส่วนตลาดในประเทศร้อยละ 40 ต่อตลาดส่งออกร้อยละ 60
(4) ยกระดับกลุ่มเกษตรอินทรีย์วิถีพื้นบ้านเพิ่มขึ้น
“สภาเกษตรอินทรีย์ พีจีเอส.ต้องบูรณาการ360องศา เปิดกว้างสร้างพันธมิตรทำงานเชิงโครงสร้างและระบบ วันนี้เป็นวันแรกเป็นช่วงของการจัดตั้งและเดินหน้า(Setup Startup)ต่อด้วยการ
เชื่อมโยงต่อยอดให้สำเร็จตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ สภาเกษตรอินทรีย์เปรียบเสมือนคานงัดที่จะสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญต่ออนาคตของเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยของเรา”นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด
การประชุมสัมนาเชิงปฏิบัติครั้งนี้มีนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนระบบเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษมอบนโยบายโดยมีนายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กล่าวรายงาน ผ่านระบบ zoom cloud meeting โดยมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมประชุมกว่า300คนรวมทั้งนายสำราญ สารบรรณ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอภิชาติ พงษ์ศรีหดุลชัย อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีเกษตรและอดีตอธิบดีกรมการข้าว นางจินตนา อินทรมงคล ผู้แทนมูลนิธิเกษตรอินทรีย์ไทย นายอนันตโชค ศักดิ์สวัสดิ์ ผู้แทนสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์ไทย พีจีเอส นายอนุรักษ์ เรืองรอบ ตัวแทนสมาพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนแห่งประเทศไทย นายชฤทธิพร เม้งเกร็ด ผู้แทนสมาคมผู้บริโภคอินทรีย์ไทย นายสมนึก ยอดดำเนิน จากบริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด และผู้แทนเกษตรกร และผู้แทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้านเกษตรอินทรีย์

รฟฟท. ส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมเป็นจิตอาสา ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ

บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมเป็นจิตอาสาคอยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่เข้ารับวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ระหว่างวันที่ 11 – 20 สิงหาคม 2564

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนการดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้แก่ประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล บริษัทจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมเป็นจิตอาสา คอยช่วยอำนวยความสะดวก และให้ข้อมูลแก่ประชาชนที่เดินทางมาเข้ารับวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ณ บริเวณจุดพักสังเกตอาการ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ระหว่างวันที่ 11 – 20 สิงหาคม 2564