รับมอบยาฟ้าทะลายโจรจำนวน 5 หมื่นขวด

รัฐสภาเวลา 7 ก.ค. 6411.30 น. ณ ห้องแถลงข่าว
ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส. พรรคเพื่อไทย รับมอบยาฟ้าทะลายโจรจำนวน 5 หมื่นขวด จากนายธนัท เชี่ยวชาญอักษร กรรมการผู้จัดการ บริษัทธนัทเฮิร์บ จำกัด เพื่อมอบให้แก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกพรรคการเมือง นำไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนในทุกจังหวัด สำหรับใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรคโควิด-19 ในการนี้ นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ได้มอบยาฟ้าทะลายโจรให้แก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย รวมทั้งได้มอบให้แก่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาด้วย

“เฉลิมชัย”เปิดแนวรุกสมุนไพรฝ่าแนวรบโควิด-19 จับมือกระทรวงสาธารณสุขและสภาการแพทย์แผนไทย

ระดม6พันคลีนิคพร้อมฮอตไลน์สายด่วนใช้สมุนไพรและตำรับยาไทยร่วมรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เตรียมคิกออฟ”เพชรบุรีโมเดล”เดินหน้าการแพทย์ทางร่วม 3แนวทาง

      นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรแถลงวันนี้ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์(7ก.ค)ว่า  จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ"โควิด-19"ระลอกใหม่ที่รุนแรงมากขึ้น

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการให้เร่งส่งเสริมพืชสมุนไพรและตำรับยาไทยเพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-19โดยผนึกความร่วมมือกับสภาการแพทย์แผนไทยและกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข
จากข้อสั่งการดังกล่าวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดการประชุมหารือโดยประสานกับดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรเป็นประธานและมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยนายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ. พล.ร.อ.ชาญชัย เจริญสุวรรณ นายกสภาการแพทย์แผนไทย
พันเอกนายแพทย์ พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา
ประธานมูลนิธิจิตเป็นผู้ให้ใจเป็นนิพพาน
นพ.ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมกสรแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
กระทรวงสาธารณสุข
ดร.ภญ.มณฑกา ธีรชัยสกุล
ผู้อำนวยการกองสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ
รศ.ดร.ธัญญะ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พท.ภ.บัญชา สุวรรณธาดา
ที่ปรึกษาโครงการพัฒนาการแพทย์ไทนร่วมสมัย ฯลฯ.
ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันว่า
พร้อมดำเนินแนวทางการแพทย์ทางร่วมระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทยโดยใช้สมุนไพรและตำรับยาไทยควบคู่กับยาแผนปัจจุบันซึ่งมี3แนวทางในการขับเคลื่อน
1.แนวทางการป้องกันการติดเชื้อโดยใช้เครื่องยาสมุนไพรและตำรับยาไทย
2.แนวทางการรักษาผู้ป่วยด้วยยาแผนปัจจุบัน เครื่องยาสมุนไพรและตำรับยาไทย
3.แนวทางการฟื้นฟูผู้ป่ายหลังการรักษาโดยเฉพาะกรณีLong COVID Syndrome
นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า สภาการแพทย์แผนไทยแจ้งว่าปัจจุบันมีคลีนิคแพทย์แผนไทย 6,000 คลินิคและแพทย์แผนไทยกว่า30,000 คนรวมทั้งศูนย์ฮ็อทไลน์แพทย์แผนไทยที่มีอยู่ทุกภาคและยังมีคลีนิคจิตอาสาแพทย์แผนไทยอีก60แห่งและคลังยาสมุนไพรและตำรับยาไทยของสภาการแพทย์แผนไทยที่พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
ในขณะที่รองอธิบดีกรมแพทย์แผนไทยแจ้งว่ากระทรวงสาธารสุขมีแพทย์แผนไทยประจำโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่งและมีการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนามเช่นที่กรุงเทพ นครปฐมและเพชรบุรี
ทั้งนี้ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าควร
เริ่มทดสอบแนวทางการแพทย์ทางร่วมที่โรงพยาบาลสนามจังหวัดเพชรบุรีซึ่งมีความพร้อมมากที่สุดเป็นแห่งแรกตามข้อเสนอของพอ.นายแพทย์พงศพศักดิ์ ตั้งคณาโดยให้มีการจัดกลุ่มผู้ป่วยตามกลุ่มยาและให้ตรวจเลือดผู้ป่วยทั้งก่อนและหลังการบำบัดรักษาเพื่อวัดผลลัพธ์หากได้ผลดีจะขยายผลต่อไป
“จากนั้นได้มีการประชุมต่อเนื่องที่จังหวัดเพชรบุรีเมื่อวานนี้(วันที่6ก.ค.)เป็นการประชุมร่วมระหว่าง ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี สาธารณสุขจังหวัด ทีมแพทย์แผนไทยเพชรบุรี พ.อ.นายแพทย์ พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา
โดยนายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีเห็นด้วยและพร้อมดำเนินการในการรักษาผู้ป่วยตามแนวทางการแพทย์ทางร่วม ทั้งนี้ในส่วนสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรียินดีที่จะดำเนินการทันทีที่มีคำสั่งจากกระทรวงสาธารณสุขให้สามารถดำเนินการทดสอบดังกล่าวโดย พ.อ.นายแพทย์ พงศ์ศักดิ์แจ้งว่าพร้อมร่วมดำเนินการทดสอบและจะเป็นผู้สนับสนุนเครื่องยาและตำรับยาไทยเช่นฟ้าทะลายโจร กระชาย เบญจโลกวิเขียร(5ราก) จันทน์ลีลาเป็นต้น “
ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรยังแถลงต่อไปว่า
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการสนับสนุนและส่งเสริมสมุนไพรไทยอย่างต่อเนื่องภายใต้นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ.และนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการฯ. โดยขับเคลื่อนนโยบายผ่านแผนแม่บทว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทยประกอบด้วย 5 ด้านคือ 1.ด้านยุทธศาสตร์สมุนไพรแห่งชาติ 2 .ด้านการวิจัยและนวัตกรรมสมุนไพร 3 .ด้านวัตถุดิบสมุนไพร 4 .ด้านส่งเสริมอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพร และ 5 .ด้านส่งเสริมภาพลักษณ์และการตลาดสมุนไพร  
ซึ่งกระทรวงเกษตรฯมีบทบาทหน้าที่ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมผลิตผลของสมุนไพรไทยที่มีศักยภาพตามความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งจากการดำเนินการที่ผ่านมาได้สนับสนุนการปลูกพืชสมุนไพร 64,917 ไร่ จำนวน 80 ชนิด แบ่งเป็น พื้นที่ที่มาตรฐาน GAP จำนวน 54,755 ไร่  พื้นที่ที่มาตรฐาน Organic Thailand จำนวน 13,162 ไร่  พร้อมทั้งจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเกษตรกร จำนวน 60 กลุ่มและมีการจัดทำมาตรฐานสินค้า GAP และมาตรฐานพืชสมุนไพรตามกลุ่มของส่วนที่ใช้ของพืช จำนวน  5 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 1หัว เหง้า และราก ฉบับที่ 2ใบ ส่วนเหนือดิน และทั้งต้น ฉบับที่ 3ดอก พืช สมุนไพรแห้ง                 ฉบับที่ 4 ผลและเมล็ด และฉบับที่ 5เปลือกและเนื้อไม้
นอกจากนี้กระทรวงเกษตรยังมีการพัฒนาบุคคลากรเพื่อตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบสมุนไพร รวมทั้งแผนดำเนินการปรับปรุงห้องปฏิบัติการที่ได้รับรองมาตรฐาน              ISO 17025 เพื่อให้บริการตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบมาตรฐาน GAP หรือมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และได้จัดทำแผนที่ความเหมาะสมของที่ดินสำหรับปลูกพืชสมุนไพร (Land Suitability) จำนวน  24 ชนิด เช่นฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน ไพล บัวบก กระชายดำ กระชายเหลือง กระวาน ข่า ขิง คำฝอย ตะไคร้ บุก พริกไทย ว่านชักมดลูก กระเจี๊ยบแดง เก๊กฮวย ดีปลี บอระเพ็ด พญายอ เพชรสังฆาต มะระขี้นก มะลิ มะแว้งเครือ และมะแว้งต้น รวมทั้งจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ปลูกพืชสมุนไพร เพื่อให้มีฐานข้อมูลพื้นที่ปลูกสมุนไพรที่ชัดเจนสามารถส่งเสริมเกษตรกรได้ โดยมีฐานข้อมูลสมุนไพร ประกอบด้วย  
1) ข้อมูลพื้นที่ปลูกสมุนไพร จากกรมส่งเสริมการเกษตร   2) ข้อมูล Land Suitability (แผนที่ความเหมาะสมของที่ดินสำหรับปลูกพืชสมุนไพร) จากกรมพัฒนาที่ดิน  3) ข้อมูลพืชสมุนไพรที่ได้รับการรับรอง GAP จากกรมวิชาการเกษตร   4) ข้อมูลพื้นที่ปลูกพืชสมุนไพร ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม   

“สมุนไพรเป็นพืชเศรษฐกิจและพืชสุขภาพ
ใช้ประโยชน์หลากหลายทั้งในการประกอบอาหารเป็นยารักษาโรค อาหารเสริมดูแลสุขภาพ และเป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ปัจจุบันความต้องการใช้สมุนไพรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากมูลค่าการบริโภควัตถุดิบสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 43,100 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 52,100 ล้านบาทในปี 2462 ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ และมุ่งเน้นใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติมากขึ้นทำให้เกิดแรงหนุนเรื่องธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องด้านสุขภาพ รวมถึงโครงสร้างประชากรและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งเรื่องสังคมผู้สูงอายุ และกระแสค่านิยมการบริโภคอาหารปลอดภัยมากขึ้นโดยเฉพาะในการแพร่ระบาดของโควิด19ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ เกษตรกรจะมีรายได้แน่นอนและมั่นคงถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญนอกจากนี้กระทรวงเกษตรฯ.ได้ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการส่งเสริมการแปรรูปสมุนไพรให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นสำหรับตลาดในประเทศและต่างประเทศแทนการส่งออกสมุนไพรในรูปของวัตถุดิบ
โดยเฉพาะสถานการณ์โควิด-19ล่าสุดดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ห่วงใยประชาชนจึงสั่งการให้กระทรวงเกษตรฯ.สนับสนุนและร่วมมือในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาลโดยใช้3แนวทางป้องกัน-รักษา-ฟื้นฟูด้วยสมุนไพรและตำรับยาไทยเสริมการแพทย์แผนปัจจุบัน พร้อมกับชี้แนะว่าประเทศจีนคือตัวอย่างของประเทศที่ใช้สมุนไพรและตำรับยาจีนควบคู่กับการแพทย์แผนปัจจุบันสู้กับโควิด-19จนประสบความสำเร็จ ซึ่งสมุนไพรและตำรับยาไทยใช้มาหลายร้อยปีได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยประชาชนคนไทยมาในแต่ละยุคแต่ละสมัย
ให้อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ การเสริมการแพทย์แผนปัจจุบันด้วยการแพทย์แผนไทยจะช่วยแก้ไขปัญหาโควิด-19ได้เป็นอย่างดี และควรทำพร้อมกันทั่วประเทศ”
นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด

กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวง อว. MOU สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย

ยกระดับ SMEs ของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

วันจันทร์ที่ 5 กรกฏาคม 2564 ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว. กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มีการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กรมวิทยาศาสตร์บริการ กับ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย โดยมี นางสาวนีระนารถ แจ้งทอง รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ และนายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยเป็นผู้แทนลงนาม ภายในงานได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานกล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย ผศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการฯ และโฆษก อว. และศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัด อว. ให้เกียรติเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามครั้งนี้ด้วย

วัตถุประสงค์ในการลงนามครั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนงานบริการทางวิทยาศาสตร์ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยในพื้นที่ภูมิภาคทั่วประเทศและชุมชนท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
 ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า หนึ่งในนโยบายที่ให้ความสำคัญคือการทำให้ภาพกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นกระทรวงแห่งการพัฒนา สร้างโอกาสให้กับประเทศชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม จากการศึกษาวิจัยที่ชัดเจน รวดเร็ว เป็น Transformative Demand Pull สามารถทำงานจริงจากความต้องการของประเทศและภาคธุรกิจ หากจะกล่าวถึงภาคธุรกิจอุตสาหกรรมที่ประกอบไปด้วยวิสาหกิจขนาดใหญ่ และ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ ที่เรียกกันในนามผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละกว่า 99.8 (ข้อมูลจากปี 2563) ของจำนวนวิสาหกิจทั้งประเทศ โดยจะเห็นได้ว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีความสำคัญต่อภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ในฐานะหน่วยงานภาครัฐจึงเห็นควรพัฒนาศักยภาพ SMEs ของไทยเพื่อให้มีแต้มต่อในการดำเนินธุรกิจโดยการใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการส่งเสริมและตอบโจทย์ความต้องการของภาค SMEs อย่างแท้จริง
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย จะเป็นต้นแบบในการนำงานบริการวิทยาศาสตร์และวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมตามที่ตกลงร่วมกัน มาใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมเพื่อผู้ประกอบการในการพัฒนาระบบคุณภาพกระบวนการผลิตสินค้า และยังเป็นการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์สินค้าของผู้ประกอบการให้มีคุณภาพตามมาตรฐานกำหนดไว้ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระดับสากล
นายแสงชัยกล่าวต่อว่า ปัจจุบันสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยมีสมาชิกเป็นเอสเอ็มอี กว่า 100,000 ราย   โดยมีเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่มีรายได้เพียงปีละ 1.8ล้านบาทในสัดส่วน60-70% จะมีเอสเอ็มอีขนาดกลางและใหญ่ในสัดส่วน 20% และ 10 % ตามลำดับ  ที่ผ่านมาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของสมาชิกกลุ่มขาดการทำวิจัย เพราะไม่มีเงินลงทุนในการจ้างนักวิชาการดำเนินการ   ทำให้มีสินค้าที่ไม่แตกต่างกัน   ด้วยเหตุนี้การเข้ามาทำข้อตกลง MOU กับกรมวิทยาศาสตร์บริการ   เป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการที่ไม่มีทุนได้เข้าถึงงานพัฒนาวิจัย    เป็นการช่วยเอสเอ็มอีขนาดเล็กได้โดยตรงนับเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการ

นางสาวนีระนารถ แจ้งทอง รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ กล่าวว่าความร่วมมือฯครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย โดยการนำงานบริการและวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มาพัฒนากระบวนการผลิตและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ต่างๆของผู้ประกอบการให้เป็นที่ยอมรับ ตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรม โดยใช้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการกำหนดแผนงานและโครงการร่วมกันทั้งในระดับพื้นที่และภูมิภาค สนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการนำนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้ รวมถึงการปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐให้มีความกระชับและคล่องตัวมากขึ้น พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายกับองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันอุดมศึกษา และวิทยาลัยชุมชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการช่วยขับเคลื่อน SMEs ที่เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ สามารถเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ นำไปสู่การยกระดับคุณภาพสินค้าของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

การชี้แจงการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการระเบิด ของโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก

ในพื้นที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
(๖ ก.ค. ๖๔) พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กอ.รมน. ได้แถลงว่าตามที่เกิดเหตุการณ์โรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก บริเวณซอยกิ่งแก้ว ๒๑ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ระเบิดและมีเพลิงไหม้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน ๑ ราย และบ้านเรือนได้รับความเสียหายกว่า ๗๐ หลังคาเรือนนั้น
จากเหตุการณ์การดังกล่าวได้มีการประกาศให้เป็นพื้นที่ภัยพิบัติโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ โดยการช่วยเหลือในขั้นต้น กอ.รมน.จังหวัด สมุทรปราการ ได้ประสานขอกำลังพล ชุดเคลื่อนที่เร็วจาก กองพลทหารราบที่ ๑๑ เข้าช่วยเหลือและดูแลประชาชนโดยรอบพื้นที่เกิดเหตุ และดำเนินการอพยพประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงในรัศมี ๕ กม. ตามที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีคำสั่งให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งได้จัดการจราจรในพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกในการอพยพเคลื่อนย้าย และ รปภ. แก่ผู้ที่สัญจรผ่านเส้นทางที่กำหนด รวมทั้งการประชาสัมพันธ์กระจายข่าวสารตามประกาศของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ให้ประชาชนทุกคนที่อยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง ต้องสวมหน้ากากอนามัยเพื่อหลีกเลี่ยงการสูดดมกลิ่นควันไฟที่เกิดจากการระเบิดของโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติกดังกล่าว
ในห้วงวันเดียวกัน ได้มีกำลังพลจาก กองบัญชาการกองทัพไทย โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพไทยส่วนหน้า และกำลังพลชุดเคลื่อนที่เร็ว กองพลทหารราบที่ ๑๑ โดย ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก ได้เข้าร่วมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาภายใต้การอำนวยการของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการซึ่งเป็น ผู้บัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่ โดยมีภารกิจสนับสนุนการเคลื่อนย้ายและอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ไปยังศูนย์อพยพที่ได้จัดเตรียมไว้ทั้ง ๓ แห่ง ได้แก่ ๑.โรงเรียนเตรียมปริญญานุสรณ์ ๒.องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ และ ๓.วัดสลุด อ.บางพลีใหญ่ จ.สมุทรปราการ นอกจากนี้กำลังพลของกองทัพบกบางส่วน ยังได้เตรียมการเข้าประจำจุดที่กำหนดหากกรณีมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นซ้ำในพื้นที่เกิดเหตุอีก
สำหรับการดำเนินการตามข้างต้นนั้นได้มีการปฏิบัติเป็นไปตามขั้นตอนของการช่วยเหลือและบรรเทา สาธารณภัยภายใต้การอำนวยการและกำกับดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ ในพื้นที่ และจากการนำเสนอข่าวกรณีมีเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง ควบคุมมิให้แรงงานภายในแคมป์ก่อสร้างอพยพออกมายังพื้นที่ด้านนอกในขณะนั้น เนื่องจากนายอำเภอบางพลี ผู้บัญชาการณ์เหตุการณ์ในระดับอำเภอ ได้ประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่าทั้ง ๒ แคมป์คนงานได้แก่ แกรนด์ เพอร์เฟค และ เล็ค เลเจนท์ ตั้งอยู่ในซอย ลาดกระบัง ๒๐/๓ ต.ราชาเทวะ มีระยะห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ ๕ กิโลเมตร ยังมีความปลอดภัยอยู่ในขณะนั้น ประกอบกับ อยู่ในห้วงมาตรการป้องกันอันตรายจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – ๑๙ รวมทั้งแคมป์ได้มีที่ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ โล่งแจ้งมีความปลอดภัยจากแรงระเบิดและกลุ่มควันจากสารเคมีในระดับหนึ่ง หากมีการประเมินสถานการณ์พิจารณาแล้วพบว่ามีการขยายวงกว้างของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จะดำเนินการเคลื่อนย้ายโดยใช้มาตรการการป้องกันการแพร่กระจายของโรคโควิด – ๑๙ อย่างเร่งด่วนทันที ทั้งนี้ กอ.รมน. มิได้นิ่งนอนใจได้มีการเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดรวมทั้งอำนวยความสะดวกในการติดต่อประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
๖ ก.ค. ๖๔

รายงานความคืบหน้า หลัง “บ.ฟอกหนังไทยรุ่งเรือง” ร้องรมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ตรวจสอบมือดีฝังกากอุตสาหกรรมปนเปื้อนสารเคมี -​พบการรุกล้ำคลองสาธารณะพื้นที่เทศบาลบางปู 52

นายณัฐชัย ศรีตั้งศิริกุล กรรมการบริษัทฟอกหนังไทยรุ่งเรืองจำกัด

หลังจากที่นายณัฐชัย ศรีตั้งศิริกุล กรรมการบริษัทฟอกหนังไทยรุ่งเรืองจำกัด นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ติดตามสังเกตการณ์ ร่วมกันตรวจสอบระหว่างกองตรวจมลพิษกรมควบคุมมลพิษ และอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมจากเทศบาลตำบลบางปูกรณีมีการนำกากอุตสาหกรรมปนเปื้อนสารเคมีฝังกลบพื้นที่ซอยเทศบาลบางปู​ 52 เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา​นั้น กองตรวจมลพิษกรมควบคุมมลพิษและอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมจากเทศบาลตำบลบางปู ได้มีหนังสือตอบกลับไปในแนวทางเดียวกัน สรุปใจความได้ว่า การจัดการกากอุตสาหกรรมฟอกหนังในพื้นที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด

แต่ระหว่างวันที่ 5 ถึง 10 มีนาคม พ.ศ. 2564 ที่รอการเข้าตรวจในโฉนดที่ดินเลขที่ 28997 และ 28998 ซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัท เขตประกอบการอุตสาหกรรมฟอกหนัง กม.30 จำกัดนั้น ได้มีการปรับปรุงพื้นที่ โดยนำดินจากนอกพื้นเข้ากลบผิวดิน ทำให้ผิวดินในพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่ใช่ดินเดิมที่ควรจะนำมาตรวจสอบ

แม้จะมีการปรับปรุงผิวดินในพื้นที่แล้ว แต่การลงพื้นที่ตรวจสอบที่ดินแปลงดังกล่าวของกองตรวจมลพิษกรมควบคุมมลพิษเพียงหน่วยงานเดียว เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2564​ นั้น​ ทางบริษัทเขตประกอบการอุตสาหกรรมฟอกหนัง กม.30 จำกัด ยังไม่อนุญาตให้เจ้าพนักงานเก็บตัวอย่างดินไปตรวจสอบอีกด้วย ทำให้ไม่มีผลการตรวจสอบในที่ดินแปลงดังกล่าว และไม่สามารถตรวจสอบดินได้ครบถ้วนตามที่ได้ร้องเรียนไป

อ้างถึงความตอนหนึ่งจากหนังสือตอบกลับจากกรมควบคุมมลพิษ ที่ ทส 0307/6501 ลงวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2564

นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบน้ำในจุดปล่อยน้ำเสียจากบ่อบำบัดน้ำเสียของเขตประกอบการอุตสาหกรรมฟอกหนังในพื้นที่ แม้จะผ่านเกณฑ์มาตรฐานแต่กองตรวจมลพิษกรมควบคุมมลพิษได้ทำการตรวจน้ำเสียจากแหล่งน้ำใกล้เคียง(คลองตาแสง)ซึ่งอยู่ด้านหลังบ่อบำบัดน้ำเสียใกล้กับจุดปล่อยน้ำเสียของเขตประกอบการอุตสาหกรรมฟอกหนังในพื้นที่ พบว่ามีค่าต่ำกว่ามาตรฐานและยังพบสารเคมีที่อาจได้รับการปนเปื้อนจากของเสียในการประกอบกิจการอุตสาหกรรมฟอกหนังอีกด้วย

อ้างจากผลรายงานการตรวจสอบตัวอย่างน้ำแนบหนังสือตอบกลับจากกรมควบคุมมลพิษ ที่ ทส 0307/6501

ซึ่งในเบื้องต้นทางอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการได้ออกคำสั่งให้มีการปรับปรุงการแก้ไขกรณีดังกล่าว และกรมควบคุมมลพิษ มีหนังสือแจ้งจังหวัดสมุทรปราการในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และเทศบาลตำบลบางปูในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และแจ้งผลดำเนินการให้กรมควบคุมมลพิษทราบ

 นายณัฐชัย ศรีตั้งศิริกุล เปิดเผยว่า​ นอกเหนือจากนั้น​ยังตรวจสอบพบการรุกล้ำแนวคลองเขตจากโรงงานฟอกหนังในพื้นที่มานานกว่า 40 ปี​ จากการตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศของ กรมแผนที่ทหาร เปรียบเทียบกับภาพจากเว็บไซต์ https://landsmaps.dol.go.th/

ภาพถ่ายทางอากาศแสดงระวางบริเวณซอยเทศบาลตำบลบางปู 52 โดยมีเส้นสีเขียวแสดงแนวคลองสาธารณะ

โดยปัจจุบันปัญหาการรุกล้ำคลองตาแสงนี้อยู่ระหว่างการรังวัดเพิ่มเติมจากสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ เพราะการรังวัดในครั้งแรกไม่สามารถรังวัดได้ทั้งหมด เหตุจากไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าของที่ดินข้างเคียงซึ่งเป็นผู้รุกล้ำ และอยู่ระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา-19 ทำให้ต้องมีการเลื่อนการรังวัดออกไป

อ้างจากความตอนหนึ่งจากหนังสือตอบกลับจากสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ ที่ สป 0020(3)/10824

ภาพถ่ายรอยพ่นสีเพื่อแสดงแนวเขตคลองจากการสำรวจเบื้องต้นของสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ(รอยพ่นสีแดง)

นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้ายืนหนังสือ

วันที่ 5 กรกฎาคม 2564
เวลา13.30น.
ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่สออาชญากรรม เข้ายืนหนังสือต่อพลตำรวจตรีชุมพล พุ่มพวง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวโทษผกก.พระประแดง ที่ตัดต้นไม้หวงห้ามโดยไม่ได้ขออนุญาติจากกรมธนารักษ์ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุ โดยร้องต่อผบก.จังหวัดสมุทรปราการกล่าวโทษให้ดำเนินคดีอาญาและวินัยร้ายแรงผกก.พระประแดงในข้อหาเบียดบังต้นไม้ห่วงห้ามอันเป็นทรัพย์สินของทางราชการไปให้บุคคลอื่น และมาตรา157 และกล่าวโทษเทศบาลลัดหลวงที่เป็นเจ้าพนักงานตัดไม้ห่วงห้าม โดยไม่มีอำนาจและร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และรับของโจรและมาตรา157

“เฉลิมชัย”เร่งปั้น”โลว์คอสต์แอร์คาร์โก้สินค้าเกษตร” ผนึกภาครัฐ-เอกชน” ช่วยเกษตรกรขยายตลาดส่งออกทั่วโลก

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมเรื่องการพัฒนาระบบขนส่งสินค้าทางอากาศ(Air cargo system)วันนี้ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำหน้างที่ประธานการประชุมและได้สั่งการให้เร่งดำเนินการพัฒนาระบบการขนส่งทางอากาศ( Air Cargo System)สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร

ซึ่งประกอบด้วยโครงสร้างและระบบ3ส่วนสำคัญได้แก่ คาร์โก้เทอร์มินัล (Cargo Terminal) ,สายการบินคาร์โก้(Air Cargo Fleet)และศูนย์ตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตร-อาหารแบบครบวงจรในคาร์โก้เทอร์มินัลโดยร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ดำเนินการที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองและท่าอากาศยานภูมิภาคที่มีความพร้อมเช่นเชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ ภูเก็ต เป็นต้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารเป็นการบริหารโอกาสของประเทศไทยภายใต้วิกฤติโควิด19 ทั้งนี้สถาบันอาหารประเมินว่าในปี 2564 การส่งออกสินค้าอาหารของไทยจะมีมูลค่า 1.08-1.10 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.2-12.2% เทียบกับปีที่ผ่านแม้จะได้รับผลกระทบจากวิกฤติการณ์โควิด 19 สะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทย
สำหรับศูนย์ตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตร-อาหาร ณ คาร์โกเทอร์มินัลซึ่งทำหน้าที่ให้บริการตรวจสอบรับรองสินค้าเกษตรและอาหารทั้งสินค้าพืช ประมง และปศุสัตว์ตามมาตรฐานสากลจะต้องบริการด่วน(Express Service)แบบวันสต็อปเซอร์วิสใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่ายของภาคเอกชนทั้งนำเข้าและส่งออกเพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นฮับการผลิตและขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารของอาเซียน
นายอลงกรณ์กล่าวว่า ดร.เฉลิมชัยได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าได้หารือเบื้องต้นกับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับโครงการแอร์คาร์โก้สินค้าเกษตร และมอบที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรเร่งประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนต่อไปโดยเร็ว
“นอกจากนี้ผู้ประกอบการบินได้นำเสนอสถานการณ์ของธุรกิจการบินและแนวทางการพัฒนาสายการบินขนส่งสินค้าทางอากาศในลักษณะโลคอสต์แอร์คาร์โก้โดยมุ่งเป้าหมายตลาดจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ตะวันออกกลาง ยุโรปและอเมริกาด้วยอัตราค่าบริการถูกกว่าอัตราค่าขนส่งในปัจจุบันและเห็นด้วยกับนโยบายของรัฐมนตรีเกษตรฯ.โดยพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เนื่องจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารต้องการความสะดวกรวดเร็วส่งถึงลูกค้าปลายทางทั่วโลกด้วยคุณภาพและมาตรฐานระดับสากลซึ่งการขนส่งทางอากาศคือคำตอบ”

วช. หนุนนักวิจัย มรภ.กำแพงเพชร ร่วม 38 เครือข่าย มรภ.วิจัย เสนอใช้”เทคโนโลยีดิจิทัล”รับชีวิตวิถีใหม่

พร้อมกำหนดให้ “อินเทอร์เน็ต”
เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศเพื่อให้ ”ชนบท” เข้าถึงการเรียนสอนออนไลน์

รศ.ดร.ปาจรีย์ ผลประเสริฐ มหาวิทยาลัยราชภัฎกำแพงเพชร หัวหน้าโครงการวิจัย เปิดเผยว่า ตนและเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) 38 แห่ง ทำการวิจัยเรื่อง “การปรับตัวของชุมชนวิถีใหม่ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19” ในพื้นที่ความรับผิดชอบครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ

     โดยได้รับทุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)  และการสนับสนุนจาก ทปอ.มรภ. ผลการวิจัยพบว่า โควิด-19  ส่งผลกระทบต่อประชาชนและทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนเป็นวิถีชีวิตใหม่ ใน 5 ประเด็น ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม สุขภาวะ เทคโนโลยีสารสนเทศ และ การศึกษา แต่อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ดังกล่าว ยังมีการจ้างงานนักศึกษาเพื่อลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจ   มีการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับโควิด จำนวน 8 เรื่อง ทำให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นต่อนโยบาย มาตรการ  เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา รวมทั้งมีการจัดทำสื่อในรูปแบบต่างๆ จำนวน 76 รายการ  เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  

    รศ.ดร.ปาจรีย์ฯ กล่าวต่อว่า สำหรับข้อเสนอจากผลการวิจัย พบว่า รัฐบาลควรมีแผนงานและแนวทางการดำเนินงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่ชัดเจน โดยกำหนดให้อินเทอร์เน็ตเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะพื้นที่ชนบทให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้ ขณะที่สถานศึกษาควร เตรียมความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพ ครูอาจารย์ต้องได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถในการออกแบบการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ที่ได้ผลลัพธ์การเรียนรู้ไม่แตกต่างจากการเรียนในสถานศึกษา ส่วนหน่วยงานระดับจังหวัดควรพัฒนาผู้นำชุมชนให้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่เป็นสื่อกลางในการประสานงานระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นกับประชาชนเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ต้องมีการส่งเสริมการพัฒนาอาชีพใหม่ให้แก่ภาคครัวเรือนเพื่อให้ประชาชนมีอาชีพและสร้างรายได้ในพื้นที่อย่างเร่งด่วนในพื้นที่ที่ตนเองอยู่อาศัย เป็นต้น

ที่ตลาดปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ กลับมาคึกคักเหมือนเดิม พ่อค้าแม่ค้ายิ้มออก

ชาวบ้านแห่ซื้ออาหารสดอาหารทะเล หลังจากมีคำสั่งปิดไปตั้งแต่ 19 มิถุนา – 2 กรกฎาคม 2564 เป็นเวลา 14 วัน เนื่องจากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นจำนวมากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ระรอกที่ 3 ทางด้าน คุณอรวรรณ(เจ๊ลิ้ม) เป้าบุญปรุง ผู้จัดการตลาดปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการเปิดเผยว่า ระหว่างที่ตลาดถูกปิดตนและเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนมาตรการรักษาการแพร่ระบาดโรคโดยการฉีดน้ำล้างพื้นเก็บกวาดสิ่งสกปรกและนำแอลกอฮอล์ฉีดพ่นเช็ดถูบริเวณแผงค้าขายซึ่งก่อนหน้านี้แม่ค้าพ่อค้าแต่ละแผงค้าลงพื้นที่ตลาดเข้าทำความสะอาดแผงค้าขายของตนเองรวมทั้งมีเจ้าหน้าที่จากกองสาธารณะสุขจังหวัดลงพื้นที่ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นระยะติดต่อกันเพื่อป้องกันจุดเสี่ยงจุดสัมผัสต่างๆก่อนจะเปิดตลาดปากน้ำ ทางด้านผู้จัดการตลาดปากน้ำจัดการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่จะมาใช้บริการวางมาตรการรักษาป้องกันตามแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุขเพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยตั้งจุดตรวจคัดกรองทั้ง 4 จุดแต่ละจุดมีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิ เจลล้างมือ สวมแมสก่อนเดินเข้าไปใช้บริการและลงทะเบียนไทยชนะส่วนทางด้านพ่อค้าแม่ค้าผ่านการตรวจคัดกรองโรคทุกคนก่อนเข้ามาเปิดแผงขายของ คุณอรวรรณ(เจ๊ลิ้ม) เป้าบุญปรุง ผู้จัดการเชื่อมั่นในการเปิดตลาดปากน้ำมีความพร้อมมากในการเปิดให้บริการสำหรับลูกค้า

รายการ”คัดข่าวมาเล่า”Naiton TV นำเสนอ เตี๋ยวตาแตก ?

ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น ไก่ตุ๋น รสเด็ด ในซอยลาดพร้าว 101 (หน้า Max Valu แฮปปี้คอนโด)

เปิดบริการแล้ว เตี๋ยว ตา แตก ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น ไก่ตุ๋น รสเด็ด อยู่ข้าง Max Valu ภายในโครงการศูนย์ การค้า แฮปปี้อเวนิว (แฮปปี้ คอนโด)  เยื้องเทสโก้ โลตัส กลางซอยลาดพร้าว 101 (ใกล้สตาร์บั๊ค คอฟฟี่  เอ็มเค สุกี้ และช้อป DIY)

รสชาติอร่อย น้ำซุปกลมกล่อม ไม่ใส่ผงชูรส  น่องไก่ชิ้นใหญ่  หมูตุ๋น ต้มจนเปื่อย เนื้อนุ่ม และลูกชิ้นหมูเด้งถูกปากนักชิม
ก๋วยเตี๋ยวชามยักษ์ แต่ราคาเพียงชามละ 45 บาทเท่านั้น  แถมใช้สิทธิ์คนละครึ่งได้ด้วย 
เปิดขายตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.30 น. ทุกวัน

สอบถามรายละเอียด โทร.082-4416939