‘ศูนย์ BLUE House ปชป.’ ร่วมกับ ‘นศ.ปปร. รุ่นที่ 24’ มอบบ้านใหม่ให้สองพี่น้องเรียนดี

บ้านเก่า

ที่กาญจนบุรี พร้อมมอบอุปกรณ์การเรียนการสอนให้ ร.ร. วัดดอนชะเอม – ‘เมฆินทร์’ เผยต้องช่วยเหลืออย่างเป็นระบบเพื่อให้เด็กสามารถเรียนได้ตามศักยภาพ

บ้านใหม
  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด ผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ และช่วยเหลือประชาชน พรรคประชาธิปัตย์  (BLUE HOUSE) พร้อมด้วย คณะนักศึกษาหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 24 (ปปร.24) นำโดย นางเกศี จันทราประภาวัฒน์  นักศึกษา ปปร 24 นายปารเมศ โพธารากุล อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์  และคณะเดินทางลงพื้นที่ ตำบลดอนชะเอม อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี  เพื่อกลับไปเยี่ยมเยือน ด.ช.อาชา จันทร์กระจ่าง และ ด.ญ.วรรณิศา จันทร์กระจ่าง สองพี่น้อง นักเรียนโรงเรียนวัดดอนชะเอม และครอบครัว  ภายหลังจากที่ทางศูนย์ฯ ได้ลงพื้นที่พบปะสองพี่น้องและครอบครัว เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา 
       ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นายเมฆินทร์ พร้อมด้วยคณะนักศึกษา ปปร.24 และผู้เกี่ยวข้อง ได้มอบบ้านที่ได้ปลูกสร้างขึ้นมาใหม่ โดยภายในบ้านได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นสัดส่วน เพื่อสะดวกในการใช้ชีวิตของครอบครัว และได้มีการมอบข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น รวมทั้งเงินจำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นทุนการศึกษาและใช้จ่ายในการดำรงชีวิตด้วย 
       ต่อมา นายเมฆินทร์ พร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปมอบอุปกรณ์การเรียนและอุปกรณ์กีฬา รวมทั้ง สิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน แก่โรงเรียนวัดดอนชะเอม โดยมี นายประเดิม มีล้อม ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดดอนชะเอมและคณะครูฯ เป็นผู้รับมอบ 
      โดยนายเมฆินทร์ ระบุว่า ทางศูนย์ฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญสำหรับการศึกษา เนื่องจากเป็นหนทางในการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เรามักจะพบเห็นเป็นเรื่องราวอยู่เสมอๆ ว่า มีเด็กเรียนดีแต่ยากจนหลายต่อหลายคนหมดโอกาสทางการศึกษา บางรายต้องอาศัยอยู่กับบ้านที่ขาดความมั่นคงจนกระทบกับสุขภาพและความสามารถในการเรียนรู้  ดังนั้น ตนเห็นว่า ทั้ง ด.ช.อาชา และ ด.ญ. วรรณิศา เป็นเด็กที่มีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีความประพฤติเรียบร้อย และมีความสามารถที่จะต่อยอดเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต เพราะฉะนั้น ทางศูนย์ฯ จึงได้ดำเนินการสนับสนุนโดยการช่วยกันสร้างบ้านที่มั่นคงให้กับครอบครัว รวมทั้ง ดำเนินการมอบสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน ให้กับโรงเรียนวัดดอนชะเอม เพื่อให้เด็กๆ ที่โรงเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถสร้างประสิทธิผลให้กับคุณครูผู้สอนได้เป็นอย่างดีด้วย 

     “ที่ผ่านมา ทางศูนย์ฯ ได้ให้ความช่วยเหลือเด็กที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์เป็นจำนวนมาก เด็กหลายๆคนก็มีที่อยู่อาศัยที่ไม่ถูกสุขลักษณะ รวมทั้ง ผู้ปกครองเองก็ไม่สามารถหารายได้ให้พอเพียงกับค่าเล่าเรียนของลูกหลาน ดังนั้น การช่วยเหลือของทางบลูเฮ้าส์ นอกจากจะมอบสิ่งของหรือทุนการศึกษาแล้ว ยังให้คำแนะนำในการสร้างรายได้ให้กับผู้ปกครองอีกด้วย ถือเป็นการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบของทางศูนย์ฯ เพื่อให้เด็กสามารถเรียนได้ตามศักยภาพ และตามความสนใจ โดยไม่ต้องพะวงกับปัญหาในส่วนอื่นๆ ด้วย” นายเมฆินทร์กล่าว 

       ทางด้านนางเกศี กล่าวว่า ตนในฐานะตัวแทนของ ปปร. รุ่นที่ 24 และนักศึกษาทุกคนในหลักสูตร ขอเป็นกำลังใจให้กับสองพี่น้อง ให้ประสบความสำเร็จในการเรียนและการใช้ชีวิต ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้มีจิตศรัทธาให้ความช่วยเหลือทั้งตัวเด็กและโรงเรียนที่เด็กทั้งสองเรียนนั้น นอกจาก สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมในวันนี้แล้ว ยังมีความปรารถนาดีและความห่วงใยมามอบให้ ทั้งนี้ นักศึกษา ปปร.รุ่นที่ 24 พร้อมที่จะมอบโอกาสและสนับสนุนให้กับเด็กไทยที่ตั้งใจเรียนและมุ่งมั่นเป็นพลเมืองดีสำหรับประเทศชาติต่อไปในอนาคตด้วย 

“อลงกรณ์”เห็นตรงนายกรัฐมนตรีปักหมุดเปิดประเทศ

ภายใน120วันพร้อมเสนอวาระโควิด6ข้อรับมือNext Normal

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ.ในฐานะอดีตรัฐมนตรีและอดีตส.ส.โพสต์เรื่อง
“อย่าให้นายกรัฐมนตรีปักหมุด120วันเปิดประเทศคนเดียว”ในเฟสบุ๊คและไลน์ส่วนตัววันนี้(17มิถุนายน)มีใจความว่า วันนี้ตั้งใจเขียนความเห็นและข้อเสนอวาระโควิด(Covid Agenda)6ข้อให้ท่านนายกรัฐมนตรีและสาธารณชนคนไทยได้อ่านในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่เคยเผชิญวิกฤตของประเทศมาหลายครั้งทั้งวิกฤติต้มยำกุ้งในปี2540และวิกฤติซับไพรมวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี2551ในฐานะอดีตรัฐมนตรีและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
………..

“อย่าให้นายกรัฐมนตรีปักหมุด120วันเปิดประเทศคนเดียว”

ผู้นำต้องกล้าที่จะนำประเทศพาประชาชนไปข้างหน้าและต้องพร้อมบริหารความเสี่ยงไปในเวลาเดียวกัน

การบริหารในช่วงวิกฤตจะละล้าละลัง กลัวๆกล้าๆไม่ได้ เพราะเวลาที่ผ่านไปคือการสูญเสียโอกาสและความยากลำบากมากขึ้นทุกขณะของประชาชนและประเทศชาติ
ถ้าล็อคดาวน์นานไปประชาชนจะไม่มีกินและธุรกิจจะปิดตัวเองมากขึ้นจนเครื่องยนต์เศรษฐกิจดับทุกสาขาทั้งภาคการท่องเที่ยว ภาคการบริการ ธุรกิจการเงิน การลงทุนพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม การค้าระหว่างประเทศและการเงินการคลังของประเทศรวมทั้งขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดต่ำลงไปเรื่อยๆ
การตัดสินใจประกาศวันดีเดย์ทำให้เกิดเป้าหมายและความหวัง
แต่ขณะเดียวกันเราต้องเผชิญกับ 2 ความเสี่ยง
ความเสี่ยงแรกคือสงครามโควิด19
ความเสี่ยงที่สองคือสงครามเศรษฐกิจ
หากบริหารได้ดี ความเสี่ยงและความสูญเสียจะลดลงมา ประเทศไทยและคนไทยจะเริ่มทำมาหากินได้เศรษฐกิจจะเริ่มขยับขยายตัวได้อีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกันฟันฝ่าผ่าความเสี่ยงที่เรียกว่า Next normalร่วมกัน
ผมมีความเห็นเป็นข้อเสนอโดยสุจริตใจ ประเด็นวาระโควิด6 ข้อเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงและการดูแลประชาชนกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
1.วัคซีนต่างประเทศ
ต้องเปิดกว้างให้ทุกฝ่ายจัดหาและช่วยระดมฉีดให้ได้ตามเป้าหมายโดยเร็วที่สุด ยิ่งฉีดเร็วฉีดมาก ยิ่งลดความเสี่ยงของสงครามโควิด19ได้มากที่สุด
อย่าให้พลาดพลั้งเหมือนช่วงแรกๆของการจัดหา
2.วัคซีนไทย
ต้องสนับสนุนเงินทุนให้มากที่สุดกับการวิจัยและพัฒนาวัคซีนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์รวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่นๆในการผลิตวัคซีนของเราเองในทุกความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีวัคซีนโดยเฉพาะเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิดจากพืช(Plant based vaccine technology )ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน3เดือนสามารถผลิตวัคซีนใหม่ๆได้ซึ่งใช้รับมือกับกรณีโควิดกลายพันธุ์ หรือโควิดสายพันธุ์ต่างชาติที่ระบาดเข้ามาในประเทศไทยทั้งก่อนและหลังการเปิดประเทศ
(เมื่อเดือนที่แล้วผมได้ไปหารือกับคณะผู้บริหารและทีมนักวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พร้อมดูความก้าวหน้าของการผลิตวัคซีนจากพืชของบริษัทใบยาไฟโตฟาร์มซึ่งเป็นสตาร์ทอัพของจุฬาฯ.มาแล้วซึ่งได้ผลดีมากในการฉีดทดสอบกับลิงและหนูโดยพร้อมจะทดสอบกับคนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าและดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ.กำหนดไปประชุมหารือกับท่านอธิการบดีบัณฑิตที่จุฬาลงกรณ์วันที่25มิถุนายนนี้
ส่วนที่แคนาดามีบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกร่วมกันพัฒนาวัคซีนโควิดจากพืชและประกาศจะนำออกสู่ตลาดในอีก2-3เดือนข้างหน้า)
3.การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว
เป็นการจุดเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง เมื่อกล้าเปิดก็ต้องเปิดแบบมีกลยุทธ์ กล่าวคือต้องไม่บริหารแบบท็อปดาวน์เพียงอย่างเดียวจึงไม่กำหนดจากข้างบนให้เริ่มที่ภูเก็ตหรือบางพื้นที่ตามที่ศบค.ตั้งเป้าหมายแรก แต่ควรเปิดหลายๆพื้นที่หลายๆจังหวัดทั่วประเทศพร้อมๆกัน โดยให้จังหวัดที่ต้องการเปิดรับนักท่องเที่ยวเสนอแผนและมาตรการป้องกันโควิดให้ศบค.พิจารณาแบบเสนอจากเบื้องล่าง ถ้าเห็นว่าทำได้ก็เดินหน้าโดยรัฐบาลให้การสนับสนุนทั้งงบประมาณและเครื่องมือกำลังคน
นี่คือกลยุทธ์การบริหารจัดการประเทศไม่ใช่บริหารจังหวัด
เมื่อกล้าเปิดประเทศก็ต้องคิดใหญ่ทำใหญ่ หากเป็นเช่นนี้เศรษฐกิจจะมีฐานขยายตัวกว้างขึ้นและเร็วขึ้น ”ล้อแห่งธุรกิจจะกลับมาหมุน”ตลอดห่วงโซ่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ต้องเข้าใจว่า ประชาชนและธุรกิจทั่วประเทศ(ไม่ใช่แค่ภูเก็ต)ที่ติดหล่มโควิดมากว่าปีแล้ว ลมหายใจใกล้หมด จึงต้องทำเร็วที่สุดและเปิดในทุกพื้นที่ทีมีความพร้อมในมาตรการป้องกันโควิด19ดีที่สุด
รวมทั้งต้องกระจายอำนาจและมอบอำนาจจริงๆให้ราชการส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นอย่ารวบอำนาจไว้ที่ส่วนกลางอย่างที่ผ่านมา

4.การพยุงประชาชนและประเทศ
ภาครัฐต้องดำเนินการเยียวยาทุกมาตรการต่อไปแม้จะต้องใช้งบประมาณหรือเงินกู้มาเยียวยาโดยเฉพาะคนยากคนจนเกษตรกรและเอสเอ็มอี. อย่ากังวลเรื่องเพดานเงินกู้ มากนัก ประเทศไทยมีศักยภาพมากพอในการสร้างรายได้ถ้าบริหารถูกทิศถูกทางการใข้หนี้ในอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องยาก ตอนนี้ต้องช่วยประชาขนช่วยธุรกิจให้อยู่รอดเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในวันข้างหน้า
5.ความรับผิดชอบร่วมกันต่อNext normalของการเปิดประเทศ
ผมคิดว่าเราทุกคนทุกฝ่ายต้องร่วมรับผิดชอบร่วมแรงร่วมใจฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน อย่าให้เป็นภาระหน้าของรัฐบาลฝ่ายเดียว เพราะวิกฤตครั้งนี้ใหญ่กว่าทุกสงครามที่ประเทศของเราเคยเผชิญ มีเดิมพันที่สูงมากที่สุดในประวัติศาสตร์
เราจะแพ้ไม่ได้
ดังนั้นในวันนี้ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ทั้งสภาผู้แทนและวุฒิสภา ภาครัฐภาคเอกชน ทุกภาคีภาคส่วนต้องผนึกกำลังกัน เอาการเมืองไว้ข้างหลัง เอาบ้านเมืองไว้ข้างหน้า
6.การบริหารจัดการต้องโปร่งใสไร้ทุจริต
ต้องไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพรรคพวกหรือผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ว่าในรูปแบบใด และต้องจัดการเฉียบขาดกับใครก็ตามที่ทุจริตประพฤติมิชอบกับเรื่องการจัดหาวัคซีนหรือการจัดซื้อเวชภัณฑ์ใดๆในทุกระดับ
ก่อนหน้านี้ผมเสนอยุทธศาสตร์”1ปิด1เปิด”โมเดลเพชรบุรีและเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมร่วมกับทุกภาคีภาคส่วน คือ”ปิดโควิด เปิดเศรษฐกิจ”ให้เร็วที่สุดไปพร้อมๆเพราะถ้าล็อคดาวน์โควิดอย่างเดียวก็อดตายทั้งประเทศหรือถ้าเปิดประเทศโดยไม่ป้องกันโควิดดีพอก็จะระบาดใหญ่ป่วยตายทั้งประเทศ ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายเปิดเพชรบุรีตั้งแต่1ตุลาคมนี้ซึ่งเผอิญเป็นแนวทางเดียวกันกับที่ท่านนายกรัฐมนตรีประกาศเมื่อวานนี้
ผมจึงเห็นด้วยกับการปักหมุด120วันเปิดประเทศและขอแสดงความเห็นมา ณโอกาสนี้ครับ
ขอเพียงอย่าให้เป็นการปักหมุดเปิดประเทศของท่านนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว เพราะสงครามโควิดและสงครามเศรษฐกิจรุนแรงและวิกฤตเกินกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะรับมือได้
ประการสำคัญคือประเทศนี้เป็นของทุกคนและอนาคตก็เป็นของพวกเราทุกคน.

อลงกรณ์ พลบุตร
17 มิถุนายน 2564

รถไฟลาวจีนเสร็จแล้ว เวียงจันทน์-คุนหมิง​ ราคาตั๋ว480บาท

. เปิดให้บริการเที่ยวปฐมฤกษ์ในวันที่ 2ธ.ค.64​ ออกจากนครหลวงเวียงจันทน์เวลา 09.09น.ใช้เวลาเดินทางถึงสิบสองปันนาเพียง4ชั่วโมง​ ก่อนจะเดินทางต่อไปยังคุนหมิง

รถไฟความเร็วสูงลาว-จีน สร้างเสร็จแล้ว100% พร้อมเดินรถเชื่อมเวียงจันทน์ถึงคุนหมิง​ มณฑล​ยูนนาน ระยะทาง 417 กม.กำหนดเปิดบริการวันที่ 2 ธ.ค.นี้ซึ่งเป็นวันชาติของลาว

.. ปล.วันที่1มกรา​ เค้าดีเดย์​กันทั่วโลก​ จะเปิดประเทศกัน ไทยเราคงไม่ช้ากว่าคนอื่นนะครับ

เชียงรุ่ง​ #ยูนนาน​ #ประเทศจีน

Xishuangbanna #西双版纳

Laos #ลาว #หลวงพระบาง

ລາວ​ #ຫລວງພະບາງ #LuangPrabang

แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เปิดจำหน่ายบัตรโดยสารสมาร์ทพาสลายใหม่ทุกประเภท

รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เปิดจำหน่ายบัตรโดยสารสมาร์ทพาสลายใหม่ทุกประเภท วันที่ 16 มิ.ย. 2564

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้มีการเผยแพร่ลายหน้าบัตรโดยสารลายใหม่มาระยะหนึ่งผ่านทาง Facebook Official Page Airport Rail Link ได้มีบรรดาผู้โดยสารและแฟนพันธุ์แท้รถไฟฟ้าให้ความสนใจและสอบถามมาเป็นจำนวนมาก บริษัทฯจึงได้ประกาศเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป ซึ่งบริษัทจะเปิดจำหน่ายบัตรโดยสารสมาร์ทพาสรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ลายใหม่ก่อน 3 ประเภท ได้แก่

-บัตรสมาร์ทพาสบุคคลทั่วไป (Adult Card) รับส่วนลดร้านค้าและบริการ

-บัตรสามร์ทพาสนักเรียน นักศึกษา (Student Card) รับส่วนลดการเดินทาง 20% ทุกการเดินทาง

-บัตรสมาร์ทพาสผู้สูงอายุ (Senior Card) รับส่วนลดการเดินทาง 50% ทุกการเดินทาง

โดยผู้โดยสารสามารถหาซื้อได้ที่ห้องจำหน่ายบัตรโดยสารทั้ง 8 สถานี

นอกจากนั้น สำหรับบัตรสมาร์ทพาสลายพิเศษประเภทบุคคลทั่วไป ( Adult Card) อีก 2 ลายใหม่ ได้แก่ “Happy Birthday Card” และ “Happy Gift Card” ที่ออกแบบเป็นลายไทย มีลักษณะเป็น “ลายประจำยาม” ซึ่งเป็นลวดลายที่มีรูปร่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสตะแคง มีลักษณะคล้ายดอกไม้ โดยดัดแปลงมาจากดอกไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ดอกสี่ทิศ” เหมาะสำหรับให้ผู้โดยสารได้เก็บสะสมเป็นที่ระลึก หรือ มอบเป็นของขวัญในโอกาสพิเศษต่างๆ จะทำการเปิดจำหน่ายในเร็วๆนี้อีกด้วย

ส่วนบริการลูกค้าสัมพันธ์
Call Center 1690
ตลอด 24 ชั่วโมง

www.facebook.com/AirportRailLink , Twitter : Airport Rail Link

เห็นชอบให้พื้นที่บริเวณถนนไกรสีห์ ถนนตานี และถนนรามบุตรี เป็นพื้นที่ทำการค้าที่มีอัตลักษณ์ วิถีชุมชน

หาบเร่แผงลอยเฮ กทม.ไฟเขียวอนุญาตพื้นที่ทำการค้าคราวละ 2 ปี หวังช่วยบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19
วันที่ 15 มิถุนายน 2564 นาย สกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 1/2564
ที่ประชุมได้หารือการแก้ไขปรับปรุงประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขายหรือจำหน่ายสินค้าในที่สาธารณะ ลงวันที่ 28 มกราคม 2563 และ (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564
เนื่องจากกลุ่มผู้ค้าได้ร้องเรียนผ่านหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ คณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) และคณะกรรมาธิการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องระยะเวลาทำการค้าคราวละ 1 ปี ซึ่งหากไม่ได้รับสิทธิการทำค้าขายต่อเนื่องจะไม่คุ้มกับการลงทุน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือและลดผลกระทบต่อผู้ค้าในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขาย หรือจำหน่ายสินค้าในที่สาธารณะ (ฉบับที่ 3) ข้อ 10 เงื่อนไขการทำการค้า ให้ทำการค้าได้คราวละ 2 ปี

ส่วนพื้นที่ใดมีความจำเป็นต้องทำการค้าต่อ ให้สำนักงานเขตทบทวนความเหมาะสมโดยเสนอผ่านคณะกรรมการจัดระเบียบหาบเร่-แผงลอย ระดับเขต เพื่อเสนอคณะกรรมการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของกรุงเทพมหานครพิจารณา
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้พื้นที่บริเวณถนนไกรสีห์ ถนนตานี และถนนรามบุตรี เป็นพื้นที่ทำการค้าที่มีอัตลักษณ์ วิถีชุมชน และส่งเสริมการท่องเที่ยว ย่านบางลำพู เนื่องจากเป็นย่านการค้าที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมมาเยือนจำนวนมาก เป็นศูนย์รวมของร้านอาหารนานาชาติ ทั้งที่เป็นร้านประจำและร้านที่ขายริมถนน และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ยังผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของท้องถิ่นและประเทศ
รวมทั้งเพื่อให้การทำการค้าย่านถนนข้าวสารเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เหมาะสมกับอัตลักษณ์ของพื้นที่ วิถีชุมชน ภาพลักษณ์ของประเทศและของกรุงเทพมหานคร รวมถึงประโยชน์สาธารณะในการสัญจรของประชาชน

แม่น้ำหนึ่ง กับการออกรางวัล หวยรัฐบาล ในการจุดธูปปู่ เจ้าตัวมั่นใจมากว่าต้องถูกแน่นอน

“แม่น้ำหนึ่ง” กลับถึงบ้านแล้วหลังศาลพิพากษา รอลงอาญา 2 ปี ไลฟ์โชว์เลขธูปปู่ 3 ตัว ย้ำชัดหวยรัฐบาล ถ้าถูกจะบริจาค 1 ล้าน

ภาพจาก”ข่าวเช้าหัวเขียว” ไทยรัฐทีวี

ภายหลังศาลอาญามีนบุรี ศาลมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.1883/2564 ระหว่างพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญามีนบุรี 2 โจทก์ และ น.ส.ภิรดา ธนโชติจินดา จำเลย คดียื่นฟ้องในความผิดฐานประกาศ โฆษณา ชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันทายผลสลากกินรวบ (ทายผลสลากกินรวบออนไลน์) พนันเอาทรัพย์สินโดยไม่ได้รับอนุญาต

โดยพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12 (1) โดยลักษณะการกระทำความผิดเป็นการแพร่หลาย เล่นการพนันเป็นวงกว้าง เห็นควรลงโทษสูงสุดตามกฎหมาย ให้จำคุก 3 ปี และปรับ 5,000 บาท

จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน และปรับ 2,500 บาท โดยโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี และให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี ห้ามจำเลยประกาศ โฆษณา ชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันทายผลสลากกินรวบหรือกระทำการอื่นใดที่มีลักษณะเช่นเดียวกัน

ล่าสุด น.ส.ภิรดา ธนโชติจินดา หรือ แม่น้ำหนึ่ง ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “เปิดเถิกขอกำลังใจ 555555 กลับบ้านแล้วค่า คืนนี้เจอกันนะคะ หนูขอโทษสื่อที่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์นะคะ หนูยังไม่พร้อมจิงๆ” หลังจากกลับถึงบ้านที่ อ.ด่านขุนทด พร้อมไลฟ์เฟซบุ๊กระบุเผยเลขธูปปู่ แม่น้ำหนึ่ง หวยรัฐบาล งวดที่ 13 งวด 16/06/64 ซึ่งเจ้าตัวมั่นใจมากว่าต้องถูกแน่นอน และขอให้ทุกคนเชื่อมั่น ถ้าถูกงวดนี้จะนำเงินไปทำบุญ 1 ล้านบาท โดยเลขธูปปู่งวดนี้ ได้แก่ 507

ไกอะ คอร์ปอเรชั่น ชี้แจง: ไม่เกี่ยวข้องการผลิตถุงมือยางคุณภาพต่ำ

หลังกระทบความเชื่อมั่นพร้อมดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง

“ไกอะ คอร์ปอเรชั่น” ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกค้นโรงงานผลิตถุงมือทางการแพทย์ไม่ได้มาตรฐานที่จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2564 และวันที่ 8 มิถุนายน 2564 พร้อมชี้แจง รายละเอียด และการเตรียมสู้คดีหลังบริษัทได้รับผลกระทบด้านความเชื่อมั่นในการจำหน่ายสินค้า
นายชูอิชิ โอซาวา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไกอะ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีการเสนอข่าวในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นโรงงานแห่งหนึ่งในอ.ศรีราชา จ. ชลบุรี และระบุว่าสถานที่ดังกล่าว บริษัท ไกอะ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้เช่าสถานที่ เมื่อตรวจสอบข้อมูลการอนุญาต ไม่พบว่าบริษัทฯดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสถานประกอบการตาม พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2551 และได้มีการลักลอบเปิดเป็นโรงงานผลิตและจำหน่ายถุงมือทางการแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นถุงมือทางการแพทย์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานมาบรรจุใส่กล่องใหม่ที่เป็นยี่ห้ออื่นเกรดมาตรฐานสากล เพื่อหลอกขายลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ
จากประเด็นข่าวดังกล่าวส่งผลกระทบในด้านความเชื่อมั่นของ บริษัท ไกอะ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เนื่องจากทางเราเป็นบริษัทที่ตั้งอยู่หลายประเทศทั่วโลก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริษัทจึงขอชี้แจงว่า โรงงานดังกล่าวนั้น บริษัท ไกอะฯ เป็นผู้เช่าสถานที่ตามที่รายงานข่าวจริงโดยเช่าจากบริษัท เอเทคฯ แต่ บริษัท ไกอะฯ ยังไม่เคยเข้าไปประกอบธุรกิจหรือเข้าพื้นที่ที่บริษัทฯทำการเช่าที่ดินแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจาก บริษัท เอเทคฯ ผู้ให้เช่า ยังไม่ได้ส่งมอบพื้นที่การเช่าให้กับ บริษัท ไกอะฯ แต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นโกดังในหมู่ 11 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จังหวัด
ชลบุรี และพบถุงมือทางการแพทย์ ที่มีการกล่าวหาว่า ผิดกฎหมายนั้น บริษัทฯขอชี้แจงว่า โกดัง
ดังกล่าวบริษัทฯไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่ได้มีการเช่าพื้นที่ดังกล่าวแต่อย่างใด
ดังนั้น ข้อมูลที่มีการเผยแพร่ข่าวในสื่อต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา บริษัท ไกอะ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ขอยืนยันว่าบริษัทฯไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และงบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทางบริษัทได้รับความเสียหายด้านชื่อเสียง และความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ ขณะนี้ทางบริษัท ไกอะ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ได้มีการปรึกษากับทีมกฎหมายเพื่อชี้แจง ความเป็นมาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และประเมินความเสียหายของบริษัทที่ได้รับจากกรณีดังกล่าว พร้อมทั้งจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด
โดย ทางบริษัทไกอะ ฯได้ตั้งทีมทนายจากสำนักงานนิรันดร์และเพื่อนในฐานะที่ปรึกษากฏหมายเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้ ซึ่งทีมทนายความได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางบริษัทไกอะเองคงไม่เอาชื่อเสียงไปเสี่ยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอน เนื่องจากบริษัทไกอะมี่ต้นทุนทางธุรกิจสูง และที่สำคัญอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบสวน สีบสวนความจริงให้ชัดเจน เพราะไกอะไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งทางทีมทนาย ยังบอกอีกว่าจะมีแนวทางในการดำเนินคดีตามแนวทางตามกฏหมายกับทาง บริษัทแห่งหนึ่ง ที่ได้บอกเลิกสัญญาโดยอ้างว่ามี บุคคลที่ 3 เข้าไปใช้พื้นที่ ต่อไป

กองทัพเรือ ร่วมกับ สภากาชาดไทย กำหนดจัดการแสดงกาชาดคอนเสิร์ต ครั้งที่ 47

แบบ New normal

lประจำปีพุทธศักราช 2564 แบบ ในวันอังคารที่ 3 สิงหาคม 2564 เวลา 14.00 น. ผ่านการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ กองทัพเรือ Royal Thai Navy เฟซบุ๊กแฟนเพจ The Thai Red Cross Society และ YoutubeLive กาชาดคอนเสิร์ต Royal Thai Navy เพื่อหารายได้โดยไม่หักค่าใช้จ่ายทูลเกล้าถวาย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย อันเป็นการสนองในพระราชปณิธานของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง องค์สภานายิกาสภากาชาดไทย

ที่จะให้การช่วยเหลือรักษาพยาบาลเพื่อนมนุษย์ผู้เจ็บป่วยทั้งมวลให้ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข อีกทั้งเป็นการเผยแพร่ดนตรีแนวคลาสสิกให้เป็นที่แพร่หลายในหมู่ประชาชนชาวไทย ซึ่งกองทัพเรือก็ได้ดำเนินการตามพระราชปณิธาน ตั้งแต่ปี 2504 เป็นต้นมา โดยใช้ชื่อการแสดงว่า “กาชาดคอนเสิร์ต” และได้จัดแสดงเป็นประจำทุกปี จะมีเว้นบ้างตามสถานการณ์ ที่ไม่เอื้ออำนวย โดยวงดุริยางค์ราชนาวี นับได้ว่าเป็นวงซิมโฟนีออเคสตร้าแนวคลาสสิกชั้นนำวงหนึ่งของประเทศไทยที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จอย่างสูง ได้มีโอกาสบรรเลงในงานพระราชพิธี รัฐพิธี ตลอดจนงานสำคัญต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ

  สำหรับผู้บริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทยในครั้งนี้ จะได้รับสิทธิประโยชน์จากสภากาชาดไทย โดยผู้บริจาคสามารถนำใบเสร็จรับเงินจากสภากาชาดไทยไปลดหย่อนภาษีได้ และผู้บริจาคเงินตั้งแต่ 4 หมื่นบาทขึ้นไป สามารถขอสิทธิ์การเป็นผู้มีอุปการคุณ ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามสัดส่วนของเงินบริจาค เมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา และได้รับสิทธิลดหย่อนเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขตามที่ระเบียบกระทรวงฯ กำหนด นอกจากนั้น ยังจะได้รับเข็มผู้มีอุปการคุณ สภากาชาดไทย ซึ่งสามารถประดับได้ทั่วไป และสามารถประดับเข้างานกาชาดโดยไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้บริจาค 3 แสนบาทขึ้นไป และ 6 แสนบาทขึ้นไป นอกจากจะได้สิทธิตามข้างต้นแล้ว ยังสามารถขอรับพระราชทานเหรียญกาชาดสมนาคุณ ชั้นที่ 2 และชั้นที่ 1 ได้ตามลำดับ และในปีนี้ กองทัพเรือได้จัดทำของที่ระลึกมอบให้แก่ผู้ร่วมบริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย ตั้งแต่ 2 แสนบาทขึ้นไป มีรายละเอียดดังนี้
            บริจาค 2 แสนบาทขึ้นไป รับเข็มที่ระลึกรูปดอกประดู่ประดับอัญมณี มูลค่า 7,500 บาท
          บริจาค 1 ล้านบาทขึ้นไป รับเหรียญที่ระลึกพระราชพิธีบรมราชาภิเษก  4 พฤษภาคม 2562 (เหรียญทองคำ 99.9 % หนัก 20 กรัม) มูลค่า 6 หมื่นบาท
         นอกจากนั้นยังจะได้รับหนังสือขอบคุณ และภาพถ่ายขณะเข้ารับของที่ระลึกพร้อมกรอบเป็นที่ระลึก   ร่วมบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย 

ได้ที่กรมกิจการพลเรือนทหารเรือ หมายเลขโทรศัพท์ 024753081 หรือ ธนาคารทหารไทยธนชาต หมายเลขบัญชี 115 – 2 – 50386 – 6 ชื่อบัญชี “กาชาดคอนเสิร์ต ครั้งที่ 47” และธนาคารกรุงไทย หมายเลขบัญชี 660 – 4 – 17792 – 0 ชื่อบัญชี “กาชาดคอนเสิร์ต ครั้งที่ 47” …กองทัพเรือ ร่วมกับ สภากาชาดไทย ช่วยคนไทยรับมือ COVID 19…

กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ

ชาวคลองด่านเคลื่อนไหว “ร้อง” สว. ขอให้นำพื้นที่ “บ่อบำบัดน้ำเสีย”

กลับมาให้ชาวบ้านใช้ประโยชน์ สู้วิกฤตการณ์โควิด-19
และดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย

เมื่อวันที่14 มิถุนายน 2564 เวลา 11.00 น. ที่อาคารสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ ชาวคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ นำโดยนายอรัญ อยู่คง รองนายกฯ อบต.คลองด่าน ตัวแทนชาวบ้าน เดินทางไปยื่นหนังสือประชาคมชาวคลองด่าน ต่อ รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ประธานกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ โดยขอให้พิจารณาข้อเสนอของประชาชนตำบลคลองด่านในการปรับใช้ประโยชน์พื้นที่ “โครงการระบบ บำบัดน้าเสียคลองด่าน” เพื่อประโยชน์สาธารณะ หวังให้ชาวคลองด่านและพื้นที่ใกล้เคียงมีอาชีพช่องทางทำกิน สู้กับวิกฤตโควิด-19
โดยมีรายละเอียดเบื้องต้น ดังนี้
ความเป็นมา

  1. โครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ได้มีการยกเลิกการก่อสร้าง เมื่อปี พ.ศ. 2546 และมีการปล่อยพื้นที่โครงการ จำนวน 1,900 ไร่ ทิ้งร้างไม่มีการใช้ประโยชน์จนถึงปัจจุบัน
  2. เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2558 องค์การจัดการน้ำเสีย(อจน.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้มีการทำประชาคมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ตำบลคลองด่าน เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในโครงการระบบบำบัดน้ำเสียคลองด่านว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร โดยมีประชาชน เข้าร่วมประชาคม จำนวน 2,015 คน โดยองค์การจัดการน้ำเสียเสนอแนวทางดำเนินการ เช่น ให้มีการศึกษา ตามแผนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไปโดยให้เอกชนดำเนินการ เปลี่ยนรูปแบบ ระบบบำบัดน้ำเสียให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เปลี่ยนแปลงพื้นที่เป็นศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และยกเลิกโครงการโดยไม่ต้องดำเนินการอะไร ซึ่งผลการทำประชาคมมีผู้เห็นด้วยกับข้อเสนอของ องค์การจัดการน้ำเสียโดยเฉพาะข้อเสนอให้ยกเลิกโครงการโดยไม่ดำเนินการอะไร จานวน 60 คน คิดเป็น ร้อยละ 2.98 ของประชาชนทั้งหมดที่เข้าร่วมประชาคม ซึ่งองค์การจัดการน้ำเสีย(อจน.) จะนำผลการประชาคม ดังกล่าวเสนอต่อรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
    ข้อเท็จจริงและข้อเสนอของประชาชนตาบลคลองด่าน
    องค์การบริหารส่วนตำบลคลองด่านและประชาชนตำบลคลองด่าน ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ และได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการดังกล่าวโดยตรงได้มีการพิจารณาร่วมกันแล้วเห็นว่า เพื่อให้มีการดำเนินการกับสิ่งก่อสร้างและท่อรวบรวมน้ำเสียที่ผู้รับเหมาทิ้งไว้ในโครงการ กลับมาใช้ประโยชน์ อย่างคุ้มค่าสูงสุด จึงมีข้อเสนอดังนี้
  3. ให้องค์การจัดการน้ำเสีย ตรวจสอบสิ่งก่อสร้างระบบบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน และท่อรวบรวมน้ำเสียในโครงการที่ผู้รับเหมาก่อสร้างทิ้งไว้ หากพบว่าไม่ได้ก่อสร้างตามแบบมาตรฐาน คู่สัญญา ให้องค์การจัดการน้ำเสียส่งหลักฐานให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 ต่อไป
  4. นำพื้นที่ที่เหลือจากการก่อสร้างซึ่งเป็นพื่นที่ป่าชายเลน พื้นที่ชายทะเล จำนวน 1,300 ไร่ พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว
  5. ให้ท้องถิ่นบริหารจัดการและบริหารการท่องเที่ยวเมื่อมีการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว
  6. ให้องค์การจัดการน้ำเสีย ตั้งพิพิธภัณฑ์การทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน เพื่อเป็นการให้ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน
  7. ให้องค์การจัดการน้าเสีย ใช้พื้นที่ด้านเหนือของที่ต้ังโครงการก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสีย ปรับปรุงเป็นสวนน้ำเพื่อการท่องเที่ยว
  8. ให้องค์การจัดการน้ำเสีย นำแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำเสียจังหวัดสมุทรปราการ ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย มาใช้เป็นพื้นฐานในการแก้ปัญหาน้ำเสียของจังหวัดสมุทรปราการต่อไป
    ด้าน รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ หลังจากรับหนังสือประชาคมจากตัวแทนชาวคลองด่านแล้ว กล่าวว่า
    “เรื่องที่พี่น้องชาวคลองด่านร้องเรียนมาถึงกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำนี้ ประเด็นคือว่า ต้องการนำพื้นที่ที่เหลือจากสิ่งปลูกสร้างประมาณ 1,300 ไร่ ที่ไม่ได้ใช้งาน ซึ่งขึ้นอยู่กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาประกอบอาชีพ ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ เราจะศึกษารายละเอียดและจะแจ้งแนวทางให้พี่น้องชาวคลองด่านทราบต่อไป และยังมีประเด็นเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา ทางกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำวุฒิสภาได้ให้ข้อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรี และ ครม.ต่อปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งก็พ้องกับปัญหาของชาวคลองด่านด้วย”

ตรวจ SWAB เสริมความมั่นใจลูกทีมด่านหน้า พร้อมให้บริการประชาชน

นายกฯบางเมือง นำทัพ รพ.สต.ลั่น!จนท.และบุคลากร เทศบาลบางเมืองต้องปลอดเชื้อ

  นาวาเอกอนุศักดิ์ นาคทิม นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบางเมือง จ.สมุทรปราการ พร้อมด้วยทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบส่งเสริมสุขภาพตำบล ทั้ง 5  แห่ง กองสาธารณสุขเทศบาลตำบลบางเมือง พร้อมด้วยนางสาวขวัญเรือน นาคทิม กำนันตำบลบางเมือง ตลอดจนเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุข ได้เสริมสร้างขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลบางเมืองทุกคน และเจ้าหน้าที่กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลตำบลบางเมือง ที่เป็นบุคลากรสำคัญในการทำงานเชิงรุกด่านหน้า ที่คอยให้บริการประชาชนในการนำรถและอุปกรณ์ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 ออกตระเวนฉีดพ่นให้กับประชาชนในชุมชนของตำบลบางเมือง ตลอดจนประชาสัมพันธ์ถึงพี่น้องประชาชนที่ขอรับการตรวจSWAB หาเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้ได้มารับการตรวจ เพื่อสร้างความมั่นถึงผลการตรวจและการปลอดเชื้อ 
   โดยความห่วงใยของนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบางเมือง ที่เอาใจใส่ดูแลทั้งเจ้าพนักงานของสำนักงานเทศบาลตำบลบางเมือง ในฐานะที่ตนเองเป็นนายกเทศมนตรี บริหารกำกับดูและทุกภาคส่วนขององค์กร จึงได้ใก้ความสำคัญทางด้านสุขภาพ เพื่อเพิ่มความมั่นใจต่อผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ให้บริการประชาชน โดยเฉพาะบึคลากรกลุ่มงานที่ต้องลงพื้นที่ให้บริการประชาชน ต้องปลอดภัยและปลอดเชื้อเป็นอันดับแรก เพื่อให้การทำงานที่ต้องลงพื้นอย่างต่อเนื่อง ให้สามารถขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี และต้องไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัวโควิด-19 ซึ่งทางด้านนาวาเอกอนุศักดิ์ นาคทิม นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบางเมือง ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยของบุคลากรต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งทราบดีว่าหากมีบุคลากรติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็จะเกิดส่งกระทบต่อการทำงานเชิงรุกอย่างแน่นอน จึงได้ประสานความร่วมมือจาก รพ.สต.ทั้ง 5 แห่งในเขตพื้นที่สำนักงานเทศบาลตำบลบางเมือง มาดำเนินการตรวจ SWAB ให้ทันที เนื่องจากหน่วยงาน รพ.สต.ยังมีศักยภาพแลัความพร้อมในการปฏิบัติอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐานสูง
 นอกจากนี้ทางด้านนางสาวขวัญเรือน นาคทิม กำนันตำบลบางเมือง ก็ได้ปฏิบัติการเชิงรุกใส่ใจดูและลูกบ้านเป็นอย่างดี และลงพื้นที่สำรวจตรวจเยี่ยมพี่น้องประชาชนอย่างสม่ำสมอ เพื่อกำชับมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยร่วมมือกับผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตกำนัน แพทย์ประจำตำบล เจ้าหน้าที่ อสม.และคณะกรรมการหมู่บ้านทุกหมู่ร่วมแรงร่วมใจกันดูแลลูกบ้านอย่างเต็มที่อีกด้วย