แม็คโคร ขานรับภาครัฐ ให้สถานที่ลงทะเบียนฉีดวัคซีน

แม็คโคร เชียงใหม่ ประเดิมสาขาแรกเป็นจุดลงทะเบียนฉีดวัคซีน ล่าสุด จับมือ สสจ.เชียงใหม่ จัดพื้นที่ อำนวยความสะดวกในการรับลงทะเบียนให้ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรค ขยายช่องทางการเข้าถึงบริการ เพื่อจองวันและสถานที่ฉีดวัคซีนโควิด ย้ำมาตรการป้องกันโควิด-19 ขั้นสูงสุด เพิ่มความมั่นใจ
นางสาวศิรดา พฤกษตระกูล ผู้จัดการเขต แม็คโคร สาขาภาคเหนือ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม็คโคร พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนภาครัฐช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึงโดยเร็ว ล่าสุด แม็คโคร สาขาเชียงใหม่ ได้รับคัดเลือกจากกลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ในการเป็นจุดรับลงทะเบียนเฉพาะกิจ ให้กับ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรค ระหว่างวันที่ 16-19 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 16.00 น. ก่อนรอการฉีดวัคซีนในลำดับต่อไป
ที่ผ่านมา แม็คโครได้ทยอยส่งมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ – สิ่งของจำเป็นในการดำรงชีพ ในการดูแลผู้ป่วย ตลอดจนมอบชุดป้องกันการติดเชื้อ หรือ PPE ให้แก่ โรงพยาบาลสนามทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท เพื่อส่งกำลังใจให้แก่บุคลากรด่านหน้าในการต่อสู้กับโควิด-19

“ปรพล” ชวนชาวสระบุรี ฉีดวัคซีน ป้องโควิด19 พร้อมให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์

( 21 พ.ค.64) นายปรพล อดิเรกสาร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสระบุรี 2 สมัย กล่าวถึงสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนอยู่ขณะนี้ ซึ่งในส่วนของพื้นที่จังหวัดสระบุรี พบว่ายังมีผู้ติดเชื้ออยู่ เเต่จำนวนไม่มาก จึงมีความห่วงใยและ อยากเชิญชวนให้พี่น้องชาวสระบุรี ครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ และ 7 กลุ่มโรคเสี่ยง ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น หมอพร้อม เพื่อรับการฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันโควิด เและจะลดอาการอักเสบของปอดไม่ให้รุนแรง หากติดเชื้อได้ ถือเป็นการ “ฉีดวัคซีน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”
พร้อมกันนี้ทาง ท่านชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยัง ได้ฝากแสดงความห่วงใยถึงสถานการณ์ในสระบุรีอีกด้วย รวมทั้งได้ฝากให้เฝ้าระวังและตรวจสอบข่าวสารที่ส่งต่อกันในสังคมออนไลน์ ซึ่งขณะนี้พบว่ามี Fake News จำนวนมาก ทำให้ประชาชนสับสนเรื่องข้อมูลเกี่ยววัคซีนและการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันตรวจสอบ หากไม่แน่ใจให้สอบถามไปยัง สธ.และหน่วยงานหรือ ผู้แทน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชนในพื้นที่ของท่านได้

บจ. คลีน ฟอร์ กรีนและบจ.บุญหนุนนำ ร่วมมอบข้าวมันไก่ของร้านนายแม่ ให้กับทีมแพทย์ พยาบาล รพ. ศิริราช

นายกมลเดช เอมสวนะ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร บจ.คลีน ฟอร์ กรีน พร้อมด้วย นายนครพจน์ ปิ่นมิ่ง ผู้บริหาร บจ.บุญหนุนนำ มาร่วมมอบข้าวมันไก่ของร้านนายแม่ด้วย จำนวน 100 ชุด ให้กับ ทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ รพ.ศิริราช เพื่อร่วมส่งกำลังใจ ในการปฏิบัติงาน ควบคุมสถานการณ์ การแพร่ระบาดเชื้อไวรัคโควิค 19 โดยมี นายแพทย์เอกพันธ์ ครุพงศ์ อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านโลหิตวิทยา น.ส.อุษณีย์ ฟองศรี ผู้ตรวจการพยาบาล เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารนวมินทรบพิตร รพ.ศิริราช เมื่อวันก่อน

มทร. ธัญบุรี ผลิตเสียงบรรยายภาพ ช่วยเปิดโลกสำหรับผู้พิการทางสายตา

ได้รับรางวัลจากเวทีนานาชาติ
โลกกำลังก้าวไปข้างหน้าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างไม่มีขีดจำกัด เพื่อตอบสนองความต้องการและความสะดวกสบายของมนุษย์ผู้ใช้งานยุคไอที ในขณะที่ผู้พัฒนาบางส่วนได้ลืมไปว่าในสังคมนี้ยังมี “ผู้พิการทางสายตา” ที่ต้องการนวัตกรรมขั้นพื้นฐานสำหรับการดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป

โทรทัศน์ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสื่อที่ทำให้ผู้ชมสามารถรับชมและรับฟังข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และความบันเทิงได้กับผู้ชมทุกเพศทุกวัย และในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนรูปแบบให้สามารถรับชมได้ทางออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์ บนจอมือถือ บนแท็บเลต และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อื่น ๆ ทำให้ผู้ชมสามารถรับชมรายการโทรทัศน์ได้สะดวก รวดเร็ว และตรงกับความต้องการของแต่ละคนมากขึ้น แต่เคยสงสัยไหมว่าผู้พิการทางสายตา ดูโทรทัศน์อย่างไร เมื่อผู้พิการทางสายตารับชมรายการโทรทัศน์ จะเข้าใจเรื่องราวและเนื้อหาได้หรือไม่ เพราะโทรทัศน์เป็นสื่อที่เล่าเรื่องด้วยภาพ และความสงสัยนี้ ทำให้อาจารย์กุลภัสสร์ กาญจนภรางกูร สาขาเทคโนโลยีการโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียง
คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี นำเสนอผลงาน “ผลิตเสียงบรรยายภาพในคลิปวีดิโอหนังสั้น เพื่อผู้พิการทางสายตา” ขึ้น จนได้รับรางวัลเหรียญทองจากการประกวดสิ่งประดิษฐ์ระดับนานาชาติ งาน “The 5th China (Shanghai) International Invention & Innovation Expo” ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในรูปแบบออนไลน์ เมื่อวันที่ 15 – 17 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา โดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้คัดเลือกผลงานวิจัยเข้าร่วมในการประกวดในครั้งนี้
อาจารย์กุลภัสสร์ เปิดเผยว่า สื่อเสียงบรรยายภาพ Audio Description (AD) คือ สื่อชนิดหนึ่ง มีขึ้นเพื่อ
ผู้พิการทางสายตาให้สามารถเข้าใจเนื้อหาของสื่อที่ต้องการับชมได้มากยิ่งขึ้น ลักษณะของเสียงบรรยายภาพ คือการบรรยายด้วยเสียงในช่วงที่ไม่มีการพูดคุย ไม่มีการสนทนา ซึ่งเป็นช่องว่างของวีดีโอนั้น ๆ ผู้พิการทางสายตาจะไม่สามารถรับรู้ได้ว่าในระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง เสียงบรรยายภาพจะมีหน้าที่ทำให้ผู้พิการทางสายตารับรู้ว่าเหตุการณ์ในฉากนั้นดำเนินไปอย่างไรตัวละครกำลังทำอะไร ทำให้ผู้พิการทางสายตาเข้าใจในเนื้อหาสาระของเรื่องการศึกษาจะเริ่มจากการนำคลิปวีดิโอหนังสั้น มาตรวจดูเพื่อหาช่องว่างระหว่างบทสนทนาของตัวละครหรือเสียงบรรยาย เพื่อให้ได้ระยะเวลาของช่องว่างที่จะสามารถใส่เสียงบรรยายภาพลงไปได้ ต่อมาซึ่งมีการเขียนบทเสียงบรรยายภาพ เมื่อได้บทเสียงบรรยายภาพเรียบร้อยแล้ว จึงทดลองลงเสียงและอาจมีการปรับการใช้คำหรือประโยคให้พอดีกับช่องว่างของเวลา ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องมีการพิจารณาการใช้คำที่เหมาะสม และผู้พิการทางสายตาสามารถที่จะเข้าใจได้ รวมถึงการใช้ประโยคที่มีความพอดีกับช่องว่างของเวลา ให้ได้ประโยคที่มีความหลากหลายและผู้ฟังเข้าใจ หลังจากนั้นทำการบันทึกเสียง และเข้าสู่โปรแกรมตัดต่อเพื่อให้ภาพและเสียงบรรยายให้มีความสัมพันธ์กัน และทำการตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งจนเป็นผลงานที่เสร็จสมบูรณ์
ในภาควิชาเทคโนโลยีภาพและเสียง มีผลงานที่ผลิตโดยฝีมือของนักศึกษาเป็นจำนวนมาก และมีความน่าสนใจ สื่อวีดีโอชิ้นนี้เป็นผลงานของนักศึกษา สาขาเทคโนโลยีการถ่ายภาพและภาพยนตร์ ได้นำมาต่อยอดเพื่อสร้างคุณค่าให้กับผลงาน สื่อดังกล่าว ไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์และศึกษางานวิจัย แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในการนำมาฝึกฝนให้กับนักศึกษาในสาขาวิชาได้เห็นว่า ยังมีอีกหนึ่งอาชีพที่นอกจาก ช่างภาพ นักตัดต่อ
ผู้ประกาศ และนักข่าวเท่านั้น ผู้ผลิตเสียงบรรยายที่เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีความน่าสนใจ และทำประโยชน์ให้กับสังคมได้เช่นกันด้าน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัย กล่าวว่า วช. ได้ส่งเสริมและสนับสนุนนักวิจัยและนักประดิษฐ์ไทยในการนำผลงานที่มีคุณภาพและมีศักยภาพด้านการวิจัยและด้านการประดิษฐ์คิดค้น เข้าร่วมการประกวดผลงานในเวทีระดับนานาชาติต่อเนื่อง ทำให้ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมของคนไทยที่ไปเผยแพร่ เป็นที่รู้จักสามารถนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดผลงาน และเปิดโอกาสให้มีการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นช่องทางให้นักวิจัยและนักประดิษฐ์ไทยเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ อันจะนำไปสู่ผลงานที่ได้มาตราฐานเกิดการยอมรับจากผู้ใช้งาน และเป็นที่ต้องการทางการตลาดและก้าวสู่เชิงพาณิชย์ต่อไป

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(FAO)และสหภาพยุโรป(EU)ยกย่องไทย

เป็นต้นแบบการแก้ไขปัญหาประมง(IUU)อย่างยั่งยืน
เชิญรัฐมนตรีเกษตร‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ เป็นรัฐมนตรี1เดียวของทวีปเอเซียกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีนานาชาติ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ว่า องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และ คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (European Commission) ส่งหนังสือเชิญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็น 1 ใน 6 รัฐมนตรี จากประเทศสมาชิก 194 ประเทศ เตรียมขึ้นเวทีระดับโลกกล่าวสุนทรพจน์ (Testimonial Statement) และเข้าร่วมการเสวนา (Panel Discussion) ในการประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูง (High-Level Event) เรื่อง ข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรการรัฐเจ้าของท่า (PSMA) และการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 นี้

นายอลงกรณ์กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้มอบนโยบายให้กรมประมง ทำงานบรูณาการร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร กองทัพเรือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานต่างๆ ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของหน่วยงานภาครัฐ กับผู้ประกอบการประมงพานิชย์ และชาวประมงพื้นบ้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) โดยที่ผ่านมา รัฐบาลไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่และชัดเจน ที่จะขจัดปัญหาการทำประมง IUU เพราะตระหนักดีถึงความจำเป็นที่จะต้องรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่ออนุชนรุ่นหลัง มิใช่เฉพาะแต่ของไทยแต่หมายถึงทรัพยากรของโลกโดยภาพรวม โดยการแก้ไขปัญหาประมง IUU ได้ถูกกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ได้กำกับดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และเชื่อมั่นว่าไทยได้วางรากฐานระบบป้องกันการทำประมง IUU ไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว ประกอบด้วย 6 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1. ด้านกฎหมาย 2. ด้านการบริหารจัดการประมง 3. ด้านการบริหารจัดการกองเรือ 4 ด้านการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง (MCS) 5. ด้านการตรวจสอบย้อนกลับ และ 6. ด้านการบังคับใช้กฎหมาย” พร้อมกับการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพประมงไทยจนองค์การสหประชาชาติ FAO และสหภาพยุโรป ได้ยกย่องประเทศไทยเป็นต้นแบบการแก้ไขปัญหา IUU อย่างยั่งยืน

ทางด้านนายธนวรรษ เทียนสิน อัครราชทูต(ฝ่ายเกษตร) และผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ กรุงโรม (FAO/IFAD/WFP) รายงานเพิ่มเติมว่า การประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในครั้งนี้ จะมีการหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลและนำเสนอผลการดำเนินงานของประเทศสมาชิกที่ร่วมลงนามในข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรการรัฐเจ้าของท่า (Port State Measures Agreement หรือ PSMA) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 4 มิถุนายน 2564 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักต่อการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) และส่งเสริมการดำเนินนโยบายของประเทศสมาชิกให้สอดคล้องกับกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรการรัฐเจ้าของท่า (PSMA) เพื่ออนุรักษ์และปกป้องทรัพยากรประมงและมหาสมุทรอย่างยั่งยืน โดยมีนายฉู ดองหยู ผู้อำนวยการใหญ่ของ FAO นายเวอร์จิเนียส ซิงคาวิสเซียส กรรมาธิการสหภาพยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม มหาสมุทรและประมง และ นางแอ๊กเนส คาลิบาต้า ทูตพิเศษเลขาธิการสหประชาชาติด้านระบบอาหารโลก ร่วมกล่าวเปิดการประชุมในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ และในวันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี FAO และประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะร่วมกันจัดกิจกรรมวันต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย (International Day for the Fight against IUU Fishing) เพื่อสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมของประเทศสมาชิกและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการประมงให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย IUU Fishing อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ FAO ได้เชิญรัฐมนตรีจาก 6 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา สาธารณรัฐฟิจิ สาธารณรัฐโมซัมบิก สาธารณรัฐเปรู สเปน และประเทศไทย ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ และแถลงผลงานความสำเร็จในระดับประเทศในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย เป็นรัฐมนตรีจากประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียเพียงประเทศเดียวที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมที่สำคัญระดับโลกในครั้งนี้

ข้อมูล: สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงโรม

วช. หนุน มทร. อีสาน ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพอากาศยานจากฟูเซลแอลกอฮอล์

 เพื่อจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดองค์การสหประชาชาติ (UN) มีแผนส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการบินพาณิชย์ เพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพแทนการใช้ฟอสซิล  กำหนดกรอบเบื้องต้นว่า ให้ธุรกิจการบินพาณิชย์ค่อยๆ ทยอยเพิ่มปริมาณการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ จากปัจจุบันที่ใช้อยู่ปีละ 82 ล้านตัน ให้เพิ่มขึ้นเป็น 128 ล้านตัน ภายในปี 2040 และเป็น 285 ล้านตันภายในปี 2050  การศึกษา วิจัยเพื่อพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพอากาศยาน เพื่อนำไปสู่การลงทุนในเชิงพาณิชย์และการใช้งานจริงจึงต้องเตรียมการล่วงหน้า เพื่อนำเสนอภาครัฐในการกำหนดนโยบายของประเทศต่อไป
 รศ.ดร.อาทิตย์  อัศวสุขี อาจารย์ประจำสาขาวิชาเคมีประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน หัวหน้าโครงการวิจัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันในประเทศไทยมีโรงงานผลิตเอทานอลที่ดำเนินการแล้วจำนวน 26 ราย กำลังการผลิตรวม 5.89 ล้านลิตรต่อวัน อย่างไรก็ตามในกระบวนการผลิตเอทานอลนอกจากจะให้เอทานอลเป็นผลิตภัณฑ์หลักแล้ว ยังให้ผลิตภัณฑ์พลอยได้เป็นฟูเซลแอลกอฮอล์ (Fusel alcohol) ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการกลั่นอีกเป็นจำนวนมาก โครงการวิจัย "การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากฟูเซลแอลกอฮอล์ที่ได้จากโรงงานเอทานอล" ที่ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนฟูเซลแอลกอฮอล์ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพอากาศยาน หรือไบโอเจ็ท (Biojet) สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมการบิน โดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาเติมลงไปในฟูเซลแอลกอฮอล์ในอุณหภูมิและความดันที่เหมาะสมเพื่อปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของฟูเซลแอลกอฮอล์ โดยในกระบวนการผลิตนี้สามารถให้ปริมาณน้ำมันเจ็ทได้มากกว่า 57 เปอร์เซ็นต์ต่อฟูเซลแอลกอฮอล์ 1 ลิตร นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ส่วนที่เหลือยังให้สารเอโลฟินส์  พาราฟินส์ สารอะโรมาติกส์ ซึ่งสามารถนำไปผลิตเป็นพลาสติก ตัวทำละลาย สี สารเติมแต่งและน้ำมันเบนซิน  ผลที่ได้จากโครงการนี้มีแผนที่จะนำเสนอผลการวิจัยให้กับผู้ผลิตเอทานอลในประเทศไทย และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพและเชื้อเพลิงชีวภาพต่อไป
 ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ  เปิดเผยว่า โครงการที่ วช.สนับสนุนการวิจัยส่วนหนึ่งจะเป็นการเตรียมการเพื่อรองรับการปรับตัวของภาคส่วนต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โครงการวิจัย "การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากฟูเซลแอลกอฮอล์ที่ได้จากโรงงานเอทานอล" จะเป็นแนวทางใหม่สำหรับการผลิตน้ำมันไบโอเจ็ทที่สามารถพัฒนาในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ การโดยใช้ฟูเซลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พลอยจากกระบวนการกลั่นเอทานอลมาเป็นวัตถุดิบ จะช่วยให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green economy) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์พลอยได้ที่เกิดจากกระบวนการหมักวัสดุทางการเกษตร เพื่อเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น ลดการนำเข้าน้ำมันดิบซึ่งเป็นการประหยัดเงินตราจากต่างประเทศ ใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อช่วยลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก และกระตุ้นให้เกิดการยกระดับเทคโนโลยี และการสร้างนวัตกรรมให้กับภาคอุตสาหกรรม

นายปรพล อดิเรกสาร ประธานคณะ ทำงานขับเคลื่อนการนำร่องโครงการบูรณาการ

ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด(cctv)ในพื้นที่บริเวณแนวชายแดนและ ด่านตรวจคนเข้าเมือง ณ จังหวัดสระแก้ว

และ อดีต ส.ส.สระบุรี พร้อม ด้วย นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี อดีตผู้อำนวยการธนาคารออมสิน นายมงคล นฤนาถดำรงค์ อดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี เเละ
นายปรนนท์ ฐิตะวรรโณ หลานชายอดีตรองนายกฯ สุวิทย์
คุณกิตติ ได้รับการแต่งตั้งเป็น คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ………

วช. ส่งเสริม มก.ผลิตเครื่องกะเทาะเมล็ดแมคคาเดเมีย เพิ่มมูลค่า สู่ภาคอุตสาหกรรม

​นักวิจัย คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผลิตเครื่องกะเทาะเมล็ดแมคคาเดเมีย ช่วยสร้างศักยภาพผลผลิตและรายได้ แก่เกษตรกรในพื้นที่สูง โดยการสนับสนุนของ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

​การพัฒนาการกะเทาะผลกะลาแมคคาเดเมียในปัจจุบัน นิยมใช้แบบใบมีดกะแทก โดยใช้แรงงานคนที่มีความชำนาญและใช้เวลานาน สามารถกะเทาะได้ครั้งละ 1 ผล เท่านั้น โดยแมคคาเดเมีย 1 กิโลกรัม จะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ในการกะเทาะ จึงอาจส่งผลให้การผลิตล่าช้าหรือผลผลิตเสียหาย

รองศาสตราจารย์ ดร.ธานี ศรีวงศ์ชัย หัวหน้าโครงการวิจัยจาก ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ได้คิดค้นเครื่องกะเทาะเมล็ดแมคคาเดเมีย จากโครงการพัฒนามาตรฐานการผลิตแมคคาเดเมียอบแห้งสำหรับชุมชน โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในการดำเนินการพัฒนาเครื่องกะเทาะแมคคาเดเมียที่สถานีวิจัยเพชรบูรณ์ ของคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในเขตพื้นที่ บ้านทับเบิก อำเภอหล่มเก่า และ บ้านเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ โดยร่วมกับห้างหุ้นส่วนจำกัด อาทิตย์ เวนติเลเตอร์ เพื่อนำมาใช้ในกระบวนการการแปรรูปแมคคาเดเมียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ลักษณะการใช้งาน คือ เมื่อนำผลกะลาแมคคาเดเมียใส่เข้าด้านบนของเครื่องกะเทาะ ผลกะลาแมคคาเดเมียจะตกลงไปภายในเครื่องมีแกนหมุนเพื่อให้ผลกะลาที่ตกลงไปกระทบกับชุดใบมีดสำหรับการกะเทาะผลกะลาให้แตก จากนั้นกะลาและเนื้อในที่แยกออกจากกัน ตกลงสู่ถาดรองรับภายนอกเครื่องกะเทาะและนำไปสู่กระบวนการอื่นต่อไป

รศ. ดร.ธานี กล่าวต่อว่า นวัตกรรมชุดนี้สามารถช่วยย่นเวลาการผลิต ตอบโจทย์ในระดับวิสาหกิจชุมชน อีกทั้ง ได้ผลเมล็ดเต็มของแมคคาเดเมีย ถึงร้อยละ 60 โดยแมคคาเดเมีย 1 กิโลกรัม จะใช้เวลาการกะเทาะประมาณ 30 นาที ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาวิธีการที่จะทำให้ได้เมล็ดเต็มมากขึ้น โดยมีการวางเป้าหมายการขยายผล ไปสู่การสร้างศูนย์เรียนรู้การแปรรูปแมคคาเดเมียสำหรับชุมชน เพื่อส่งเสริมและถ่ายทอดองค์ความรู้การแปรรูปการผลิตแมคคาเดเมียโดยใช้เครื่องกะเทาะแมคคาเดเมีย ให้แก่ ชุมชนและเกษตรกร ให้เกิดรายได้มากขึ้น มีอาชีพใหม่รองรับ และเกิดการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสำหรับการแปรรูปแมคคาเดเมีย และขยายผลต่อไปยังเขตพื้นที่สูงต่าง ๆ

​ด้าน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า วช. มีนโยบายสนับสนุนให้สถาบันการศึกษาของไทยพัฒนานวัตกรรมในด้านต่างๆ ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยหลายแห่งสามารถผลิตนวัตกรรมเพื่อตอบสนองการแก้ปัญหาด้านต่างๆ เช่น การแพทย์ การเกษตร สิ่งแวดล้อม และอื่นๆ ตามความเร่งด่วนของปัญหาที่เกิดขึ้น นวัตกรรมหลายประเภทสามารถผลิตออกมาจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ และอีกหลายโครงการเป็นการวางรากฐานงานวิจัยของไทยให้เกิดความเข้มแข็งในระยะยาว

อว. นำนวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศแบบผลิตออกซิเจน บวก-ลบ ส่งมอบ ศปก.ศบค.

เพื่อรับมือการแพร่ระบาดโควิด-19

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ส่งมอบ “นวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศแบบผลิตออกซิเจน บวก-ลบ” นวัตกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ดำเนินการ โดยสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อร่วมรับมือการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19

ศาสตราจารย์ ดร. นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และนายพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล นายกสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ ส่งมอบ “นวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศแบบผลิตออกซิเจน บวก-ลบ” จำนวน 140 เครื่อง เพื่อสนับสนุนภารกิจของศูนย์บริการทางการแพทย์ โรงพยาบาลและหน่วยงานส่วนหน้าที่ดูแลผู้ป่วยในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2564 ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร โดยมี พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะประธานศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) เป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วย สถานีตำรวจภูธรท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี โดยพันตำรวจเอกอาริส คูประสิทธิรัตน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรท่ามะกา โรงพยาบาลกลาง โดย นางสาวอภิรดี สุนันทตานนท์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลกลาง และศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานคร (ศูนย์เอราวัณ) โดยนางสาวอรุณี ทองดี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ เป็นผู้รับมอบนวัตกรรมฯ

ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล กล่าวว่า การแก้ปัญหาและรับมือ สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ถือเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ อว. มอบ วช. ในฐานะหน่วยงานบริหารงานวิจัยของประเทศ (PMU) และศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์ และการวิจัยและพัฒนา ดำเนินการสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 และ “นวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศแบบผลิตออกซิเจน บวก-ลบ” จะเป็นประโยชน์ในการร่วมดูแลและป้องกันผู้ปฏิบัติงานส่วนหน้าในการบริหารสถานการณ์โควิด-19

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ให้ความสำคัญต่อการนำงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์ สนับสนุน ป้องกัน และลดผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 มาร่วมบริหารสถานการณ์ การแพร่ระบาดและมาตรการป้องกันต่าง ๆ ของ ศบค. เพื่อช่วยส่งเสริมมาตรการภาครัฐและมาตรการสาธารณสุข ซึ่งที่ผ่านมา วช. มีการบริหารทุนวิจัย และสนับสนุนงบประมาณพัฒนานวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 มาตั้งแต่ปี 2563 – ปัจจุบัน มีผลสำเร็จของงานวิจัยและนวัตกรรมทยอยส่งมอบให้แก่หน่วยงาน สถาบันการแพทย์ โรงพยาบาล ฯลฯ และมีนวัตกรรมมาใช้ประโยชน์ในการบริหารสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ชุดหน้ากากป้องกันเชื้อโรคแบบคลุมศีรษะพร้อมชุดกรองอากาศประสิทธิภาพสูง (PAPRs), ชุดหน้ากากป้องกันเชื้อโรคแบบคลุมศีรษะชนิดมีพัดลมพร้อมชุดกรองอากาศ (PAPR), ระบบปัญญาประดิษฐ์ (ระบบเอไอ AiMASK) ในการประเมินการใส่หน้ากากอนามัย, นวัตกรรมเครื่องพ่นละอองนาโนน้ำยาฆ่าเชื้อ, นวัตกรรม “แพลตฟอร์มหุ่นยนต์สำหรับงานทางการแพทย์และผู้สูงอายุ”, หน้ากากอนามัยชนิด KN95, หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ทำจากซิลิโคน ชนิด N 99, และนวัตกรรมชุดที่นอนยางพารา

นายพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล นายกสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ กล่าวว่า นวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศแบบผลิตออกซิเจน บวก-ลบ เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาทดสอบประสิทธิภาพขึ้น ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยเป็นเทคโนโลยีที่ใช้การปล่อยประจุไอออน 2 ชนิด คือ ออกซิเจนบวก และ ออกซิเจนลบ เพื่อจะไปทำปฏิกิริยากับเซลล์หรืออนุภาคต่าง ๆ ของไวรัสและแบคทีเรียในอากาศ นอกจากนี้นวัตกรรมดังกล่าวยังทำให้อากาศบริสุทธิ์ สะอาด ป้องกันเชื้อโรค โดยใช้เทคโนโลยี Bipolar Ionizer Technology (BIT) ระบบ Corona System ปล่อยโคโรน่าเพื่อแยกโมเลกุล ออกซิเจน ออกเป็นออกซิเจนบวกและลบไปรวมกับ ไอน้ำ (H2O) ในอากาศ เกิดกลายเป็นไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) และไฮดรอกไซด์ (OH) ซึ่งมีฤทธิ์ในการยับยั้งและทำลายเชื้อโรค ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้น

บุกเมืองหลวงจีน!!! ทุเรียนไทยแรงสุดหยุดไม่อยู่ ลูกค้าชาวจีนอุดหนุนล้นหลาม เกษตรฯ ปักกิ่ง จับมือ ททท.ร่วมห้างใหญ่

คาร์ฟูลนำทัพผลไม้ไทยบุกตลาดออนไลน์และออฟไลน์ยอดขายกระฉูด


                นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board)

เปิดเผยวันนี้ว่า กระทรวงเกษตรฯ.ยังเดินหน้าฝ่าวิกฤตโควิด19ด้วย”5ยุทธศาสตร์ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯเร่งขยายตลาดจีนเพื่อส่งออกผลไม้ไทยให้มากที่สุดโดยใช้ราชาแห่งผลไม้คือทุเรียนเป็นหัวขบวน(Thai fruit brand leader)ด้วยกลยุทธ์ออนไลน์และออฟไลน์โดยระหว่างวันที่14พ.ค.ถึง31พฤษภาคม
สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงปักกิ่ง ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานปักกิ่ง และห้างคาร์ฟูลสาขา ซวงจิ่ง เมืองปักกิ่ง จัดกิจกรรมเทศกาลผลไม้ไทย “Thai Fruit Festival” เพื่อประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทย สถานที่ท่องเที่ยว วัฒนธรรมไทยให้กับผู้บริโภคจีน โดย สปษ. ปักกิ่งได้จัดเรือผลไม้ขนาดใหญ่เพื่อนำเสนอทุเรียน มังคุด ลำไย มะพร้าวน้ำหอม ลิ้นจี่ เงาะ มะม่วง กล้วยไข่ ชมพู่ทับทิมจันทร์ รวมถึงผลไม้แกะสลัก ร่วมจัดแสดงผ่านช่องทางออฟไลน์ของห้างคาร์ฟูลและช่องทาง Live Stream โดยนางสาวปทุมวดี อิ่มทั่ว อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) ประจำกรุงปักกิ่ง  ได้เข้าร่วมกิจกรรมLive-stream บนแพลตฟอร์มออนไลน์ของคาร์ฟูล เหม่ยถวนและซูหนิง เพื่อตอกย้ำความนิยมของผลไม้ไทยที่ได้รับความนิยมสูงในจีน โดยไฮไลท์คือการนำเสนอข้อมูลตั้งแต่วิธีการเลือก ประโยชน์ของผลไม้ยอดนิยมชาวจีน ได้แก่ ทุเรียน มังคุด และมะพร้าวน้ำหอม พร้อมแนะนำผลไม้ชนิดอื่นๆ ของไทย ที่ผู้บริโภคจีนยังไม่รู้จักมากนัก อาทิ ลองกอง ขนุน ชมพู่ เป็นต้น รวมทั้งประชาสัมพันธ์คุณภาพมาตรฐานของผลไม้ไทยที่ส่งออกมายังประเทศจีนซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคชาวจีน นอกจากนี้ยังมีการสาธิตทำข้าวเหนียวทุเรียนที่นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นการเผยแพร่วิธีการรับประทานทุเรียนที่แปลกใหม่ให้กับชาวจีน ในช่วง Live Stream มีกิจกรรมส่งเสริมการขายทุเรียนราคาพิเศษ และมอบรางวัลกับให้ผู้เข้าชมที่ร่วมตอบคำถามเกี่ยวกับผลไม้ไทย

             สำหรับกิจกรรมเทศกาลผลไม้ไทยในครั้งนี้จัดติดต่อกันนาน ๑๕ วัน ตั้งแต่วันที่ ๑๔ – ๓๑  พฤษภาคม ๒๕๖๔ สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้เข้าชมในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์เป็นอย่างมาก  โดยในช่องทางออนไลน์สามารถสร้างยอดวิวได้มากถึง ๒๐๐,๐๐๐ คน โดยทางห้างคาร์ฟูลสาขาซวงจิ่ง ได้นำเข้าผลไม้ไทยทั้งหมดเพื่อจำหน่ายในช่วงเทศกาลผลไม้ไทย ทั้งในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ กว่า ๓๐๐ ตัน โดยแบ่งเป็นทุเรียน จำนวน ๑๕๐ ตัน  มังคุด ๒๐ ตัน และมะพร้าวน้ำหอม จำนวน ๒,๐๐๐ ลูก โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถขายทุเรียนในเทศกาลผลไม้ไทยดังกล่าวได้มากกว่า ๑๐๐ ตัน 

           สำหรับงานเทศกาลผลไม้ไทยครั้งนี้สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงปักกิ่ง ททท. ปักกิ่ง และห้างคาร์ฟูลสาขา ซวงจิ่ง ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้าขายสินค้าผลไม้ไทย โดยจะเน้นการขายสินค้าผลไม้สดนำเข้าจากประเทศไทย คุณภาพสูง สินค้าอาหารแบรนด์ไทยชั้นนำ เป็นต้น ซึ่งทั้งนี้งานเทศกาลผลไม้ไทยของห้างคาร์ฟูลได้จัดขึ้นทุกปี และในปีนี้ได้ผลตอบรับเกินความคาดหมายและเป็นทางน่าพอใจเป็นอย่างมาก งานดังกล่าวยังได้รับความสนใจจากสื่อหลายสำนัก ได้แก่ Beijing TV, Beijing Youth Daily, Beijing News, Beijing business today, People’s Daily ฯลฯ โดยหลังจากการไลฟ์สดสตรีมห้างคาร์ฟูลสาขาซวงจิ่งมีการขายสินค้าผลไม้ทั้งหมดมากกว่างานเทศกาลไทยในปีที่แล้วถึง ๑๐๕% อัตราการขายผลไม้โซนร้อนมากกว่าปีที่แล้ว ๒๐๑% อัตราการขายทุเรียนมากกว่าปีที่แล้ว ๒๓๘% การซื้อทุเรียนผ่านช่องทางออนไลน์ของห้างคาร์ฟูลสาขาซวงจิ่งเพิ่มมากขึ้น ๘๐๐% ส่วนการขายทุเรียนออนไลน์ของห้างคาร์ฟูลทั่วปักกิ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ๕๔๑% ทั้งนี้ห้างคาร์ฟูลสาขาซวงจิ่งเป็นสาขาที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในประเทศจีน

ทุเรียนปีนี้จะมีผลผลิต1.2ล้านตัน เพิ่มจากปีที่แล้ว20%ถ้ารวมผลไม้ทั้งหมดกว่า3ล้านต้น ต้องเร่งบุกเปิดตลาดให้เร็วที่สุดครับ โดยเฉพาะหน้าร้อน ผลไม้จีนและเวียดนามก็ออกมามาก ผู้บริโภคจีนมีทางเลือกมากขึ้น